ครีมทาฝ้ายี่ห้อไหนดี นะ นี่เลย…10 ครีมทาฝ้ายอดนิยม ที่ให้คุณอวดผิวใสไร้ฝ้าได้อย่างมั่นใจ
เชื่อได้ว่า ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวที่กำลังกวนใจใครหลาย ๆ คนอยู่ ก็เพราะรักษาเท่าไรก็ไม่หายสักที อีกทั้งยิ่งรักษา กลับยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้หนักกว่าเดิม จากฝ้าตื้นฝ้าแดดธรรมดา กลายเป็นฝ้าเลือดที่ฝังลึก จากผิวที่เคยแข็งแรง กลายเป็นผิวบอบบาง โดนอะไรนิดหน่อยก็แพ้แล้ว
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านเลย 10 ครีมหน้าขาว ได้ผลดีที่สุด
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากการเลือกครีมทาฝ้าที่ไม่ได้มาตรฐานก็ได้ โดยเฉพาะการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารอันตราย ที่ทำให้ผิวหน้าพัง เช่น สารไฮโดรควิโนน สารสเตียรอยด์ หรือสารปรอท ครีมที่มีสารเหล่านี้ แม้จะเห็นผลเร็ว แต่เห็นผลได้ชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานฝ้าก็จะกลับมาพร้อมกับผิวที่พัง แบบกู้คืนได้ยาก
การเลือกครีมทาฝ้า ควรเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐาน ใช้ส่วนผสมที่พิสูจน์มาแล้วว่า สามารถช่วยลดเลือนฝ้าได้จริง และยังช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดฝ้าใหม่ ก็จะช่วยให้ผิวหน้าของเราสวยใสไร้ฝ้า ได้อย่างถาวร
แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือก ครีมทาฝ้ายี่ห้อไหนดี นี่เลย…เรามี 10 ครีมทาฝ้ายอดนิยม ที่ผู้ใช้ต่างให้การยอมรับว่าได้ผลจริง มีรีวิวดี และที่สำคัญมีเลขอย.ถูกต้อง ปลอดภัย 100% อย่างแน่นอน
RB Aqua Whitening Cream ครีมทาฝ้า ที่ผสมผสานสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด โดยสารสกัดจากแพลงก์ตอน (Plankton Extract) ที่มีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีบีที่ทำให้เกิดความหมองคล้ำและฝ้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวที่คล้ำเสียฟื้นฟูได้เร็วขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
และที่สำคัญ RB Aqua Whitening Cream ยังผสมสารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Laminaria Japonica และ Enteromorpha compressa Extract) ที่มีฤทธิ์สมานแผล เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดความบอบช้ำของผิว และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารสกัดแพลงก์ตอน ทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงของผิวได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วแบบสัมผัสได้
ส่วนในเรื่องของการเติมน้ำให้ผิว RB Aqua Whitening Cream ก็ผสานส่วนผสมอย่าง Aquarich ซึ่งสกัดมาจากข้าวโอ๊ตสีดำ มีสรรพคุณช่วยล็อคความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ดูมันวาว มีสุขภาพดี
และ Aquaxyl ที่เป็นนวัตกรรมจากฝรั่งเศส ที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยคุณสมบัติ 3 ประการ ทั้งการกักเก็บน้ำ การสร้างไฮยาลูรอน (Hyrulon) และช่วยลดการสูญเสียน้ำ ทำให้ RB Aqua Whitening Cream สามารถช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์ ได้ยาวนาน 8 – 24 ชั่วโมง หลังการใช้ครั้งแรก
นอกจากจะช่วยฟื้นฟูและเติมน้ำให้ผิวแล้ว RB Aqua Whitening Cream ยังผสมสารสกัดอีกหลายชนิด เช่น สารสกัดจาก Red Snow และเบต้ากลูแคน (Beta-Glucan) ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ทำให้ผิวมีภูมิคุ้มกัน สามารถต่อต้านมลภาวะและอนุมูลอิสะจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้
ส่วนผสมสำคัญ
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 30 กรัม
ราคา 850 บาท
เลขจดแจ้ง 10-4-6200000204
ข้อมูลเพิ่มเติม https://rb.in.th/melasma/
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านเลย อยากขาวทำไงดี…นี่เลย 8 คำตอบ ที่คุณอยากรู้
เป็น เซรั่มทาฝ้า ที่เนื้อครีมซึมซาบได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดความมันระหว่างวัน มีส่วนผสมของสารสกัดจากเมล็ดลำไย (Longan Seed Extract) ซึ่งอุดมไปด้วย Gallic Acid, Ellagic Acid และวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออกอย่างอ่อนโยน ทำให้รอยฝ้าดูจางลง
เซรั่มทาฝ้า Jula’s Herb ยังผสานสารสกัดจากผลไม้หลายชนิด (Mixed Fruit Extract) ซึ่งมีกรด AHA ตามธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส และที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้ยังเหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย เพราะมีส่วนผสมของว่านห่างจระเข้ ที่ช่วยลดความระคายเคือง และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
ส่วนผสมสำคัญ
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 40 กรัม
ราคา 245 บาท
เลขจดแจ้ง 10-1-6010012591
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.julaherbshop.com
เซรั่มแก้ฝ้า Smooth E Baby Face Serum มีส่วนผสมของอัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha Arbutin) จากใบแบร์เบอร์รี่ (Bearberry) ที่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำให้เม็ดสีในชั้นผิวลดลง ฝ้าจึงค่อย ๆ จางลง และยังมีสารสกัดจากรากชะเอมเทศ (Licorice Extract) ที่ไม่เพียงแต่ลดการสร้างเม็ดสีเท่านั้น แต่ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบที่เกิดขึ้นกับผิว
อีกทั้งเนื้อเซรั่มยังเป็นเนื้อครีมที่บริสุทธิ์ ผ่านขั้นตอนการผลิตด้วยเทคโนโลยี MES (Multilayer Emulsion System) ทำให้สารสำคัญต่าง ๆ ในเซรั่ม สามารถซึมซาบเข้าสู่ฝ้าในชั้นลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนผสมสำคัญ
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 24 กรัม
ราคา 495 บาท
เลขจดแจ้ง 10-1-5708742
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.smooth-e.com
ครีมทาฝ้ายันฮี ที่สามารถลดเลือนฝ้า ได้ทั้งฝ้าแดดและฝ้าเลือด มีส่วนผสมของทราเนซามิคแอซิด (Tranexamic Acid) ที่ถูกใช้เป็นยารักษาฝ้าแบบรับประทานและยาฉีด มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ฝ้า กระ และจุดด่างดำต่าง ๆ ดูจางลง อีกทั้งยังผสานสารสกัดจากชะเอมเทศ (Licorice Extract) ที่ช่วยลดเลือนฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Yanhee Mela Cream ยังผสมกรดไกลโคลิค (Glycolic Acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ฝ้าค่อย ๆ ลอกออกอย่างเป็นธรรมชาติ และยังช่วยลดรอยเหี่ยวย่นของผิวได้ด้วย
ส่วนผสมสำคัญ
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 20 กรัม
ราคา 199 บาท
เลขจดแจ้ง 10-1-6100031600
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.yanheeonline.com
ครีมทาฝ้า Vin 21 ผสาน ตัว ยารักษาฝ้า ที่มีประสิทธิภาพถึง 2 ตัว ได้แก่ ทราเนซามิคแอซิด (Tranexamic Acid) และอาร์บูติน (Arbutin) ซึ่งสารทั้งสองตัวนั้น ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นการยับยั้งการเกิดฝ้าแบบตรงจุด
นอกจากสารยับยั้งฝ้าทั้งสองตัวแล้ว ในเนื้อครีมยังผสมวิตามินคอมเพล็กซ์ (Vitamin Complex) ที่ช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใส มี CoQ10 ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย และสารสกัดจากน้ำมันมะกอก (Squalane) ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว
เนื้อครีม Vin 21 ผลิตด้วยเทคโนโลยี Liquid Crystal Base ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ทำให้ได้เนื้อครีมที่มีความละเอียด ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ และยังใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Nano Active TAG-10 ทำให้สารสำคัญทั้งหมดในเนื้อครีมยิ่งเข้าสู้ชั้นผิวได้เร็วขึ้น
ส่วนผสมสำคัญ
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 15 มิลลิลิตร
ราคา 350 บาท
เลขจดแจ้ง 10-1-5520326
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.vin21thailand.com
ครีมแต้มฝ้าเฉพาะจุด จากแบรนด์ยูเซอริน ที่มีส่วนผสมของไทอามิดอล (Thiamidol™) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนของวงการผลิตภัณฑ์กลุ่มไวท์เทนนิ่ง โดยสารไทอามิดอลนั้น จัดเป็นอนุพันธ์ของสารรีซอร์ซินอล (Resorcinol Derivatives) มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้ดีกว่าอาร์บูตินถึง 380 เท่า จึงช่วยลดฝ้าแดดที่หนาลึกเฉพาะจุดได้ดีกว่าเดิมถึง 20 เท่า
นอกจากสารไทอามิดอลแล้ว ULTRAWHITE+ SPOTLESS SPOT CORRECTOR ยังผสมผสานสารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติช่วยดูแลปรนนิบัติผิว ช่วยฟื้นดูแลผิวอย่างล้ำลึก ทำให้เห็นผลผิวขาวกระจ่างใส เปล่งประกาย ได้ภายใน 2 สัปดาห์
ส่วนผสมสำคัญ
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 5 มิลลิลิตร
ราคา 1,039 บาท
เลขจดแจ้ง 10-2-6100025868
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.eucerin.co.th
ผลิตภัณฑ์ครีมทาฝ้า ที่ผสานคุณสมบัติของตัวยาทราเนซามิคแอซิด (Tranexamic Acid) ที่มีฤทธิ์ยังยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน กับวิตามินบี 3 (Niacinamide) ที่ช่วยลดการสะสมเม็ดสีในผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ทำให้ Dora+ Ultimate Whitening ช่วยลดเลือนฝ้าแดดที่แก้ยาก ให้ดูจางลงถึง 80%
นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของเบต้ากลูแคน (Beta Glucan) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผิว (Immune Booster) มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด จึงลดความหมองคล้ำ และช่วยไม่ให้เกิดฝ้าในจุดใหม่
ส่วนผสมหลัก
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 15 กรัม
ราคา 740 บาท
เลขจดแจ้ง 10-4-6100000428
ข้อมูลเพิ่มเติม www.doravlofficial.com
ครีมใช้ลดเลือนฝ้า มีส่วนผสมของอัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha Arbutin) เข้มข้น 1.2% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพ ลดเลือนฝ้า ได้ภายใน 3 สัปดาห์ และมีความปลอดภัยต่อผิว และยังผสานประสิทธิภาพจากมัลติไวท์เทนนิ่ง (Multi-Whitening) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของวิตามินบี 3 สารสกัดจากรากชะเอมเทศ สารสกัดจากหญ้าคา และเมล็ดโจโจบา จึงช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส และชุ่มชื้น
Concept Anti-Melasma Cream ยังผ่านการทดสอบ Dermatologically Test ซึ่งเป็นการทดสอบการระคายเคืองต่อผิวและการทดสอบอาการแพ้ จากสถาบัน SpinControl จากประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งยังไม่มีพาราเบน ไม่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน รวมถึงสารปรอท
ส่วนผสมหลัก
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 4/12/24 กรัม
ราคา 99/290/450 บาท
เลขจดแจ้ง 10-1-5309374
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.conceptcream.com
เป็น ครีมทาลดฝ้า ที่เป็นนวัตกรรมจากประเทศฝรั่งเศส มีส่วนผสมของสารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Palmaria Palmata Extract หรือ PPE) ที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้จุดด่างดำและฝ้าดูจางลง มีส่วนผสมของ Bio White ซึ่งรวมเอาสารสกัดถึง 4 ชนิด เข้ามาไว้รวมกัน ทำให้ผิวดูกระจ่างใส และเรียบเนียนมากขึ้น
นอกจากนี้ Vitara-TX PPE Cream ยังมีส่วนผสมที่ช่วยรักษาฝ้าที่ทรงประสิทธิภาพอีก 3 ตัว ได้แก่ อัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha Arbutin) ทราเนซามิคแอซิด (Tranexamic Acid) และวิตามินบี 3 ซึ่งทั้ง 3 ส่วนผสมนี้ มีสรรพคุณยับยั้งที่จุดกำเนิดของเม็ดสีเมลานิน แม้ว่าฝ้าที่เป็นมานาน ก็สามารถลดเลือนดูจางลงได้
ส่วนผสมหลัก
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 15 มิลลิลิตร
ราคา 320 บาท
เลขจดแจ้ง 10-2-5603283
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.berichthailand.com
ครีมทาฝ้า กิฟฟารีน เป็นครีมบำรุงผิวสูตรเข้มข้น ที่มีส่วนผสมของกรด AHA ที่ได้จากการสกัดผลไม้หลากหลายขนิด กรด AHA มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ช่วยเร่งการสร้างชั้นเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้ฝ้าที่หนาลึกค่อย ๆ ดูจางลง
นอกจากนี้ครีมทาฝ้ากิฟฟารีน ยังมีส่วนผสมของสารบำรุงอื่น ๆ ที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส มีน้ำมีนวล ดูอ่อนกว่าวัย
ส่วนผสมหลัก
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ขนาด 8 กรัม
ราคา 109 บาท
เลขจดแจ้ง 10-1-5951911
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.giffarine.com
ฝ้าเป็นความผิดปกติของผิวหนัง เกิดจากปริมาณเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ในผิวหนังบริเวณใดบริเวณหนึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าปกติ (Hyperpigmentation) ทำให้มีลักษณะเป็นแผ่นปื้นสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทา โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเม็ดสีผิว มีอยู่หลากหลายปัจจัย ได้แก่
แสงแดด
ในแสงแดดจะมีรังสียูวีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ รังสียูวีเอ (UVA) และรังสียูวีบี (UVB) โดยรังสียูวีเอ จะเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้โครงสร้างของผิวเสียหาย ทำให้ผิวดูเหี่ยวย่น ขาดความชุ่มชื้น และดูแก่กว่าวัย
ส่วนรังสียูวีบี จะทำให้เกิดความหมองคล้ำ ผิวไหม้แดด และอาจกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ผลิตเม็ดสีเมลานินมากกว่าผิดปกติ กลายเป็นจุดด่างดำ กระ และฝ้า
การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง อาจไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ให้ทำงานเพิ่มขึ้น เม็ดสีที่ผิวหนังจึงมีความหนาแน่นมากขึ้น
มีข้อมูลพบว่า คนที่รับประทานยาคุมกำเนิด 10 – 25% มีฝ้าเกิดขึ้นหลังจากการใช้ยา ส่วนคนที่กำลังตั้งครรภ์ พบว่า 10 – 15% มีฝ้าเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สาม
อายุที่เพิ่มขึ้น
ถึงแม้ว่าปริมาณเซลล์เมลาโนไซต์ในผิวหนังจะลดจำนวนลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่เซลล์เมลาโนไซต์ที่เหลืออยู่ กลับมีขนาดใหญ่มากขึ้น และมักจะเกาะกลุ่มรวมตัวกันมากขึ้นในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดจุดด่างดำ กระ และฝ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
ยาและสารเคมี
มียาหลายชนิดที่อาจทำให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยากันชัก ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยาฆ่าเชื้อมาลาเรีย รวมถึงยาเคมีบำบัด นอกจากนี้สารเคมีบางตัว โดยเฉพาะสารเคมีที่อยู่ในเครื่องสำอาง อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เกิดภาวะอักเสบ และเกิดการกระตุ้นการผลิตเม็ดสีในผิวหนังมากขึ้น
การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นในข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีมกันแดด การปรับสมดุลฮอร์โมน หรือการหลีกเลี่ยงยาและสารเคมีบางชนิด ก็จะช่วยให้การใช้ครีมทาฝ้าหรือการรักษาฝ้า มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่มา
เป็นฝ้าหายขาดไหม ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้าให้หายขาดได้ 100% โดยเฉพาะฝ้าแดด แต่ถ้าเป็นฝ้าจากความผิดปกติของฮอร์โมน การตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิด การใช้ยา หรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง ฝ้าก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปได้ หลังจากปัจจัยกระตุ้นเหล่านั้นหมดไป
การรักษาฝ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น อาจต้องใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน ทั้งการใช้ครีมทาฝ้า ยาทาฝ้า การใช้แสงเลเซอร์ IPL หรือการลอกผิวด้วยเคมี ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาหนทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
นอกจากนี้ การใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวี ช่วยลดการเกิดฝ้าในจุดใหม่ และป้องกันฝ้าไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
และเพื่อประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันฝ้า ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไป มีค่า PA ในระดับ +++ ควรทากันแดดอย่างน้อย 20 นาทีก่อนสัมผัสแสงแดด และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง หรือถ้าเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือเกิดการอุดตันได้ง่าย ก็อาจเลือกใช้ครีมกันแดดแบบสะท้อนกลับ (Physical Sunscreen) ที่มีประสิทธิภาพเหมือนกับครีมกันแดดแบบทั่วไป
ที่มา
https://www.pobpad.com/รักษาและป้องกันฝ้าให้ไ
วิธีการรักษาฝ้า ถึงแม้ว่าฝ้าอาจจะค่อย ๆ ลดเลือนหายไปเอง แต่ด้วยวิถีชีวิตประจำวันของเรา ทั้งการออกแดด ความเครียด รวมถึงอายุที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะรอให้ผิวหน้าสวยใสไร้ฝ้า โดยที่ไม่ต้องรักษา
วิธีการรักษาฝ้า มีอยู่หลายวิธี จะเลือกวิธีใดก็ขึ้นกับความรุนแรงของฝ้า ในกรณีที่เป็นฝ้าแดดธรรมดา ๆ ก็อาจจะลองใช้ครีมทาฝ้าที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ก็คงต้องไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับการตรวจและประเมินวิธีการรักษาที่ดีที่สุด
การเลือกครีมทาฝ้าที่ดีที่สุด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสำคัญ ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดฝ้า และช่วยลดเลือนฝ้าที่เป็นอยู่ ให้ค่อย ๆ จางหายไป ควรระวังผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาเกินจริง เพราะอาจมีส่วนผสมของสารอันตราย
ส่วนใหญ่แล้ว สารสำคัญที่มีประสิทธิภาพ ที่มักผสมในครีมทาฝ้ายอดนิยม มีดังต่อไปนี้
1.1 อัลฟ่าอัลบูติน
อัลฟ่าอัลบูติน (Alpha Arbutin) เป็นสารที่ได้จากการสกัดพืชหลายชนิด มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำให้การผลิตเม็ดสีในชั้นผิวลดลง ฝ้าจึงค่อย ๆ จางลง อัลฟ่าอัลบูตินมีข้อดี คือ ใช้ได้ทุกสภาพผิว เห็นผลเร็ว และไม่ทำให้ผิวบาง เหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่าย
1.2 กรดไกลโคลิค
กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid) อยู่ในกลุ่มกรดผลไม้ (AHA) มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ออกฤทธิ์รักษาฝ้าด้วยการปรับสภาพชั้นผิวและเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เผยผิวใหม่ได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิวโดยตรง กรดไกลลิคมักใช้ร่วมกับสารลดฝ้าตัวอื่น ๆ ถึงแม้ว่าความเข้มข้นที่ใช้ในเครื่องสำอาง จะอยู่ในระดับต่ำและมีความปลอดภัย แต่ก็อาจพบว่าเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้บ้าง
1.3 กรดโกจิค
กรดโกจิค (Kojic Acid) ได้มาจากการสกัดเชื้อราที่อยู่ในข้าว มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นต้นตอของจุดด่างดำ กระ และฝ้า อีกทั้งยังมีสรรพคุณช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยคืนสภาพผิวที่ถูกทำลายจากรังสียูวี มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้
1.4 อนุพันธ์ของรีซอร์ซินอล
สารในกลุ่มรีซอร์ซินอล (Resocinol Derivatives) มีสรรพคุณช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และยังจับกับกรดไขมันในชั้นผิว เพื่อยับยั้งการเคลื่อนย้ายเม็ดสีเมลานินไปยังชั้นผิว ทำให้สารที่เป็นอนุพันธ์ของรีซอร์ซินอล มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าเป็นอย่างมาก
1.5 อนุพันธ์ของลิควอริซ
อนุพันธ์ของลิควอริซ (Liquorice Derivatives) ได้จากการสกัดรากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) หรือรากหวาน ในสารสกัดจะมีสารตัวหนึ่ง ที่ชื่อว่ากลาบริดิน (Glabridin) ซึ่งเป็นสารที่ละลายในไขมัน มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังออกฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบอีกด้วย
1.6 วิตามินซี
วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิค (Ascorbic Acid) มีฤทธิ์ต้านการเกิดฝ้า ด้วยการเปลี่ยนสารตั้งต้นของเมลานินให้กลายเป็นสารชนิดอื่น ทำให้ปริมาณของเมลานินในผิวหนังลดลง นอกจากนี้วิตามินซียังมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยดูดซับรังสียูวีจากแสงแดด
1.7 วิตามินบี 3
วิตามินบี 3 (Niacinamide) มักถูกใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางหลายกลุ่ม มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนตัวของเม็ดสีจากเซลล์เมลาโนไซต์ไปยังเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า จึงช่วยลดการสะสมเม็ดสีในผิวหนังได้
ยารักษาฝ้า มีทั้งแบบชนิดทาภายนอก และแบบรับประทาน การใช้ยาทาฝ้านั้น ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะยารักษาฝ้าหลาย ๆ ตัว มักมีอาการข้างเคียงที่รุนแรง
2.1 ไฮโดรควิโนน
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) จะอยู่ในรูปแบบยาทาภายอก เป็นสารต้องห้ามในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แต่สามารถใช้ได้เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ความเข้มข้นที่ใช้ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 2 – 5% ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส การใช้ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง และผิวเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างถาวร
2.2 กรดวิตามินเอแบบทาภายนอก
กรดวิตามินเอ (Retinoic Acid) อาจใช้เป็นตัวยาเดี่ยวหรืออาจใช้ร่วมกับไฮโดรควิโนนก็ได้ มีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ชั้นผิวที่เป็นฝ้าหลุดลอกออกไปได้เร็วขึ้น และยังออกฤทธิ์ลดการสร้างเอนไซม์ไทโรซิเนสในเซลล์เมลาโนไซต์ อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยากรดวิตามินเอแบบทาภายนอก ได้แก่ อาการแพ้แสง ผิวแห้งลอก สิวขึ้น และอาจทำให้เกิดจุดด่างดำที่ผิวได้
2.3 สเตียรอยด์แบบทาภายนอก
ยาสเตียรอยด์แบบใช้ภายนอก (Topical Steroids) มักใช้ร่วมกับยาทาฝ้าตัวอื่น ๆ เพื่อลดอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น ฤทธิ์รักษาฝ้าของสเตียรอยด์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะเกิดจากการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ทำให้รอยฝ้าและจุดด่างดำดูจางลง การใช้สเตียรอยด์อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผื่นแพ้ ผิวบาง และสิวสเตียรอยด์
2.4 ยาทรานซามิน
ยาทรานซามิน (Transamin®) หรือกรดทรานีซามิค (Tranexamic Acid) ใช้เป็นยาห้ามเลือดในคนที่เลือดหยุดไหลยาก แต่ก็พบว่ามีการใช้เพื่อรักษาฝ้าด้วย เนื่องจากฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสของยา ทำให้ปริมาณเม็ดสีในชั้นผิวลดลง อย่างไรก็ตาม การใช้ยาทรานซามินสำหรับการรักษาฝ้า ยังไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียน และยังมีข้อมูลการศึกษาน้อย ทำให้การใช้ยานี้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรหาซื้อมารับประทานเอง
หมอรักษาฝ้า ในกรณีฝ้ารุนแรง ไม่สามารถใช้ยาทาฝ้ารักษาได้ หรือลองใช้ยาแล้ว พบว่าฝ้าไม่ตอบสนองต่อยา ก็อาจใช้วิธีการทางการแพทย์ดังต่อไปนี้เพื่อรักษาฝ้า
3.1 การลอกผิวด้วยเคมี
การลอกผิวด้วยเคมี (Chemical Peel) จะใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติลอกและผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดผลไม้ (AHA) กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid) กลดซาลิไซลิค (Salicylic Acid) และกรด TCA (Trichloroacetic Acid) แต้มลงไปบนรอยฝ้า เพื่อทำให้ฝ้าค่อย ๆ หลุดลอกออก
ความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ จะขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของฝ้า และเพื่อผลลัพธ์ที่ดี อาจต้องทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง อย่างไรก็ตาม การลอกผิวด้วยเคมี ต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น การซื้อน้ำยาลอกผิวมาใช้เอง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง จากกรดที่มีความเข้มข้นสูงได้
3.2 การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion หรือ MD) เป็นการใช้เกล็ดคริสตัลของสารอนินทรีย์ ที่มีขนาดเล็ก พ่นลงไปบนแผ่นฝ้า ทำให้เซลล์ผิวหนังที่มีความผิดปกติค่อย ๆ หลุดลอกออก เผยผิวชั้นในที่กระจ่างใสมากขึ้น นอกจากนี้ การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือรอยแดงบนผิวน้อย มีระยะพักฟื้นสั้น เมื่อเทียบกับการลอกผิวด้วยเคมี
3.3 การใช้เลเซอร์
การใช้แสงเลเซอร์ (Laser) จะช่วยปรับสภาพผิวที่มีความผิดปกติให้ค่อย ๆ สลายตัวด้วยความร้อน มักใช้ในกรณีที่เป็นฝ้าลึก ฝ้าแบบผสม หรือฝ้าที่ดื้อต่อยารักษาฝ้า
การรักษาด้วยเลเซอร์มีหลายแบบ เช่น PTR Laser, DFML Laser, SPM Laser, DFHL Laser (YAG) หรือ Helios II Laser ซึ่งการเลือกว่าจะใช้เลเซอร์แบบใด ขึ้นกับลักษณะของฝ้า ทั้งความลึกและความรุนแรงของฝ้า
อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยเลเซอร์ ไม่ใช่วิธีหลักของการรักษาฝ้า เพราะการใช้เลเซอร์เป็นการกำจัดฝ้าที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ได้ไปยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ทำให้มีโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเป็นซ้ำอีก
3.4 การทำ IPL
การรักษาฝ้าด้วย IPL (Intense Pulsed Light) คล้ายกับการทำเลเซอร์ แต่จะต่างกันตรงที่ IPLจะใช้แสงที่มีช่วงคลื่นที่กว้างมากกว่าแสงเลเซอร์ ทำให้รักษาปัญหาผิวอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากฝ้าได้ เช่น ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง กระ และจุดด่างดำ นอกจากนี้ลำแสง IPL จะมีความเข้มน้อยกว่าแสงเลเซอร์ จึงมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า ไม่ต้องพักผิวหน้านาน
3.5 ไอออนโต
ไอออนโต (Iontophoresis) เป็นวิทยาการทางการแพทย์ ที่ใช้มานานกว่า 200 ปี เป็นการใช้ไฟฟ้าช่วยผลักตัวยาหรือสารสำคัญให้เข้าสู่ผิวได้มากขึ้น สำหรับการประยุกต์ใช้ไอออนโตในการรักษาฝ้านั้น จะใช้ร่วมกับวิตามินซี เพื่อผลักวิตามินซีให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวมากขึ้น ทำให้รอยดำจากฝ้าดูจางลง ผิวดูสดใสขึ้น
ที่มา
ฝ้าในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่กว่า 10 ถึง 15% อาจมีโอกาสพบปะกับปัญหาฝ้า ที่มักมาเยือนในช่วงไตรมาสสุดท้าย (เดือนที่ 6 – 9) ซึ่งฝ้าที่เกิดในช่วงตั้งครรภ์นั้น ก็เป็นผลจากฮอร์โมนในร่างกายของคุณแม่ ทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งอาจไปกระตุ้นให้เซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีในผิวหนัง มีการทำงานมากขึ้น
ฝ้าในคนท้อง คุณแม่บางท่านอาจตกใจ และกังวลใจว่า ฝ้าที่เกิดขึ้นจะอยู่อย่างถาวรหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว หลังคลอดบุตร 1 – 2 เดือน ฝ้าก็จะค่อย ๆ จางหายไปเองตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องรักษาฝ้าในคนท้องแต่อย่างใด เพียงแต่คุณแม่อาจจะต้องดูแลผิวอย่างพิถีพิถันเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้ามีความรุนแรงมากขึ้น
แต่สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่ฝ้ามีความรุนแรงมาก ก็อาจต้องลองใช้สูตรมาส์กหน้าด้านล่างนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยฝ้าจาง ๆ ถาวรหลังคลอด
มะขามเปียกอุดมไปด้วยกรดผลไม้หรือกรดเอเอชเอ (AHA) ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อน ๆ มีสรรพคุณช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ฝ้าค่อย ๆ ดูจางลง
ส่วนวิธีทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่พอกน้ำมะขามเปียกไปตรงผิวหนังที่มีฝ้า ทิ้งไว้สัก 10 – 15 นาที แล้วล้างออก แต่ถ้ารู้สึกแสบ ก็ให้รีบล้างออกในทันที
ในหัวไชเท้าจะมีสารที่เรียกว่าไกลโคไซด์ (Glycosides) วิตามินซี และวิตามินเอ ซึ่งสารทั้งสามตัวนี้ พบว่ามีสรรพคุณช่วยลดเลือนฝ้าให้จางลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ และลดการอักเสบ
ให้นำเอาหัวไชเท้าที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาบดให้ละเอียด หรือจะฝานเป็นแว่น ๆ ก็ได้ แล้วนำไปพอกหรือนำไปโปะตรงรอยฝ้า แล้วทิ้งไว้ 10 – 15 นาที ทำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามหัวไชเท้าอาจทำให้เกิดความระคายเคืองได้ โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบางและแพ้ง่าย
ฝ้าฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย อาจเป็นสิ่งที่คุณแม่ควบคุมไม่ได้ แต่การดูแลสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพผิว ร่วมกับการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาฝ้ารุนแรงมากขึ้น
อย่างที่เรารู้กันว่า แสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดฝ้า แม้ในคนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่แดดจัด โดยเฉพาะในเวลาสายไปจนถึงเวลาบ่าย แต่ถ้าจำเป็นก็อาจต้องออกนอกบ้าน ก็ควรใส่หมวกและสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด
ในผักและผลไม้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) สูง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระนี่เอง ที่จะช่วยเป็นปราการให้ผิวต่อสู้กับแสงแดดได้มากขึ้น ช่วยลดความเสียหายของโครงสร้างผิว ป้องกันความหมองคล้ำ และที่สำคัญในผักและผลไม้ ยังมีสารอาหารชนิดต่าง ๆ สูง ก็จะช่วยให้ผิวหนังฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ในช่วงตั้งครรภ์ที่อารมณ์ของคุณแม่จะแปรปรวนไปตามฮอร์โมนในร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน อารมณ์ที่ฉุนเฉียว วิตกกังวล และความเครียด กลับยิ่งทำให้ความแปรปรวนของฮอร์โมนร่างกายทวีความรุนแรงมากขึ้น ปัญหาฝ้าก็จะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นแล้วการฝึกทำสมาธิ การทำจิตใจให้สบาย ก็อาจช่วยลดโอกาสการเป็นฝ้า แถมอารมณ์ที่ดี ๆ ก็ยังส่งผลในทางบวกต่อลูกน้อยอีกด้วย
ฝ้าในคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวลมากนั้น และการดูแลผิวหน้าตามคำแนะนำในข้างต้น ก็สามารถช่วยให้คุณแม่ทุก ๆ คน ที่มีปัญหานี้ ได้คลายความกังวลไปได้ไม่มากก็น้อย
ที่มา