วิธีลดความอ้วนที่ได้ผลเร็วที่สุด หลายคนคงจะไม่ชอบให้ตัวเองมีน้ำหนักเกิน มีหน้าท้อง ต้นขาที่ใหญ่ หรือเซลลูไลท์ใต้ผิวเยอะ แต่ด้วยพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งการรับประทานอาหาร การไม่ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ความเครียด ล้วนทำให้นำหนักตัวมีแต่จะเพิ่มขึ้น และสุขภาพโดยรวมแย่ลง
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้หลาย ๆ คน เสาะหาวิธีลดความอ้วน รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม 5 วิธีลดความอ้วนที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นเคล็ดลับการลดน้ำหนักที่ได้ผลจริง มีความปลอดภัย และถ้าปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องก็จะเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านได้เลย 10 อันดับ ยาลดน้ำหนัก มี อย ได้ผลดี
จากงานวิจัยของ Rains TM และคณะ พบว่า การรับประทานอาหารเช้าที่มีโปรตีน 30 – 39 กรัม จะช่วยควบคุมความหิวในระหว่างวันได้ดีกว่าอาหารเช้าที่มีโปรตีนต่ำ จึงช่วยลดความอยากอาหารในมื้อเที่ยงและมื้อเย็นได้ อีกทั้งการทานอาหารโปรตีนสูงในมื้อเช้า ยังช่วยลดปริมาณน้ำตาลและฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานในอนาคต
ทั้งน้ำหวานและน้ำผลไม้จะมีปริมาณน้ำตาลสูง ทำให้เราควบคุมแคลอรี่ได้ยาก และในบางครั้ง 1 หน่วยบริโภคของน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ อาจมีปริมาณพลังงานสูงกว่าขนมขบเคี้ยวเสียอีก ถ้าต้องการดับกระหายอาจเลือกเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือจะทานผลไม้สด ๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า
มีงานวิจัยโดย Dennis EA และคณะ พบว่า กลุ่มคนที่ดื่มน้ำ 500 มิลลิลิตร ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที ร่วมกับการทานอาหารที่จำกัดแคลอรี่ จะมีน้ำหนักตัวลดลงถึง 44% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานเฉพาะอาหารที่จำกัดแคลอรี่เพียงอย่างเดียว
รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ไม่ถูกดูดซึม จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนัก โดยจะส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นานมากขึ้น ช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมันเข้าสู่ร่างกาย และยังช่วยลดความเสี่ยงในโรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูง นอกจากนี้ใยอาหารยังจัดเป็นพรีไบโอติกส์ (Prebiotics)
ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ เมื่อจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ช่วยลดอาการพุงป่องได้อย่างรวดเร็ว
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านได้เลย 10 อันดับ ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ ยี่ห้อไหนดี
ในชาและกาแฟจะมีสารคาเฟอีน ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นกระบวนการเทอร์โมเจนีซีส (Thermogenesis) ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ที่มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้ 3 – 11 % ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถูกสลายเป็นพลังงานความร้อน และยังมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมน้ำได้อีกด้วย
ที่มา
สิ่งที่ยากที่สุดของการลดน้ำหนัก คือเรื่องการรับประทานอาหาร หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินสูตรลดน้ำหนักมามากมายนับไม่ถ้วน บางสูตรก็ทานอาหารน้อยไปจนโอเวอร์ จนอาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เกิดความเจ็บป่วย แต่วิธีการรับประทานอาหารด้านล่างนี้ เราพบว่ามีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง และนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้จริงแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย
สูตรแรกของการกินอย่างไรให้น้ำหนักลด ก็คือการกินอาหารแบบธรรมดาแบบที่เรากินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เพิ่มเติมคือการนับแคลอรี่ในแต่ละมื้อ โดยรวมแคลอรี่ต่อวันไม่ให้เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
การคำนวณแคลอรี่ต่อวัน ต้องคำนวณอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน (Basal Metabolic Rate หรือ BMR) ก่อน ซึ่ง BMR ก็คือ ค่าพลังงานที่ร่างกายของเรา ต้องใช้สำหรับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เพื่อให้มีชีวิตนั่นเอง
BMR ในผู้หญิงและผู้ชายจะมีค่าแตกต่างกัน ก็เพราะขนาดของร่างกายที่ต่างกันนั่นเอง โดยสูตรคำนวณ BMR ที่นิยมใช้ จะเป็นสูตรของ Mifflin – St. Jeor ซึ่งเป็นสูตรการคิด BMR ที่น่าเชื่อถือที่สุด
เมื่อได้ค่า BMR แล้ว ให้เราเอาค่า BMR ที่คำนวณได้ มาคูณด้วยปัจจัยหรือตัวแปรตามแต่ละระดับการใช้แรงในชีวิตประจำวัน ก็จะได้ค่าพลังงานที่เราต้องการใช้ต่อวัน (Total Energy Expenditure หรือ TEE) แล้ว
หลักการนับแคลอรี่ง่าย ๆ ก็เพียงรับประทานอาหารให้ได้แคลอรี่รวมมากกว่าค่า BMR แต่ให้น้อยกว่าค่า TEE เพียงแค่นี้ สมดุลพลังงานในร่างกายก็จะเป็นลบ ร่างกายก็จะดึงพลังงานและไขมันที่สะสมไว้ เอามาสร้างเป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
กินแบบคีโตจีนิค
การกินแบบคีโตจีนิค (Ketogenic) คือ การกินอาหารแบบจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต แต่เน้นไปที่อาหารกลุ่มไขมันแทน บางคนอาจจะกลัวว่า ถ้าเน้นไขมันแล้ว จะลดน้ำหนักได้อย่างไร
จริง ๆ แล้ว ร่างกายของเรามีความสามารถสลายทั้งคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เพื่อเอามาสร้างเป็นพลังงานในการดำรงชีวิต แต่ร่างกายจะเลือกใช้คาร์โบไฮเดรตก่อน ถ้าร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตเมื่อไหร่ ก็จะดึงเอาไขมันมาใช้แทน
การกินแบบคีโตจีนิคนั้น จะทำให้ร่างกายขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตอย่างหนัก เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ร่างกายก็จะหันไปสลายไขมันที่สะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกมาใช้แทน จึงทำให้การกินแบบคีโตเจนิค เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักและลดสัดส่วน แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
กินแบบพาลีโอ
การกินแบบพาลีโอ (Paleo) หรือการกินแบบมนุษย์ถ้ำ เป็นอีกหนึ่งวิธีกินอาหารที่ช่วยลดความอ้วน ที่กล่าวว่าเป็นการกินแบบมนุษย์ถ้ำนั้น ก็เพราะการกินแบบพาลีโอ จะเน้นการกินอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด เน้นอาหารที่สดใหม่ เน้นไขมันจากพืช ลดอาหารประเภทนม เนย รวมไปถึงน้ำตาลทราย แต่ก็สามารถใช้ความหวานจากน้ำผึ้งได้อยู่
สิ่งที่แตกต่างระหว่างการกินแบบคีโตจีนิคและการกินแบบพาลีโอ คือ ปริมาณคาร์โบไฮเดรต ที่การกินแบบคีโตจีนิคต้องมีการจำกัดอย่างเข้มงวด เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะคีโตได้เร็วที่สุด ส่วนการกินแบบพาลีโอนั้น ก็อย่างที่กล่าวไป ว่าเป็นการกินอาหารแบบธรรมชาติ ไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไร เว้นเสียก็แต่พวกอาหารแปรรูปปรุงแต่งต่าง ๆ
อาหารเสริมช่วยลดน้ำหนัก
ถึงแม้ว่าการใช้อาหารเสริมช่วยลดน้ำหนัก อาจไม่ใช่วิธีหลักในการลดความอ้วน แต่เราสามารถเอาอาหารเสริมมาใช้ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารได้ ซึ่งจะช่วยให้การลดน้ำหนักเห็นผลได้เร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมหลาย ๆ ยี่ห้อ มักจะมีส่วนผสมที่ช่วยลดน้ำหนักหลายชนิดร่วมกัน หน้าที่ของผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็คือ ต้องเลือกอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ปลอดภัย ไม่ผสมยาลดความอ้วน และได้มาตรฐาน อย.
ที่มา
ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก แต่การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้น้ำหนักลดลงได้น้อย หรือไม่ลดลงเลยก็ได้ มาดูกันว่าเราจะออกกำลังกายอย่างไร เพื่อให้น้ำหนักลดลง และสัดส่วนต่าง ๆ ดูกระชับมากขึ้น
การออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic Exercises) เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำให้หัวใจและปอดแข็งแรง ช่วยเผาผลาญพลังงานและยังช่วยเบิร์นไขมันได้ดีอีกด้วย ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างน้อยให้ได้สัปดาห์ละ 150 นาที หรือเฉลี่ยวันละ 30 นาที เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ได้แก่ วิ่งหรือเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน การเต้นรำ และกีฬาที่เล่นเป็นทีม เช่น ฟุตบอล
ส่วนการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (Weight Exercises) เป็นการออกกำลังกายที่อาศัยแรงต้าน (Resistance Exercises) ช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะทำให้อัตราการใช้พลังงานในขณะพัก (Basal Metabolic Rate) เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เราสามารถเบิร์นแคลอรี่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ออกกำลังกาย นอกจากนี้การเล่นเวทยังช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่อาจเกิดขึ้นจากการลดน้ำหนัก
การออกกำลังกายแบบแอโรบิค อาจแบ่งได้เป็น 5 โซน (Zone) ตามอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งแต่ละโซนก็จะการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายที่แตกต่างกัน แต่ก่อนที่เราจะไปดูว่าการออกกำลังกาย แบ่งได้เป็นกี่โซนนั้น ต้องรู้จักกับอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Maximum Heart Rate) ก่อน
อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดในแต่ละคน จะมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับเพศ อายุ สภาพร่างกาย หรือโรคที่เป็นอยู่ ซึ่งการหาค่าอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด อาจทำได้โดยการวัดโดยตรง หรือการคำนวณก็ได้
โดยสูตรการคำนวณที่นิยมใช้ จะใช้สูตร
Maximum Heart Rate (MHR) = 220 – อายุ
ซึ่งสูตรดังกล่าวเป็นสูตรที่จำง่าย แต่ก็อาจจะมีความคาดเคลื่อนได้บ้างเล็กน้อย
โซน 1 จะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 50 – 60% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด หรือ 104 – 114 ครั้งต่อนาที เป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ ไม่รู้สึกเหนื่อย เหมาะสำหรับการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้เล็กน้อย
โซน 2 จะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 60 – 70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด หรือ 114 – 133 ครั้งต่อนาที เป็นโซนที่เหมาะที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเบิร์นไขมันส่วนเกิน (Fat Burning) เพราะการออกกำลังกายในโซนนี้ ร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมันถึง 85% ในระหว่างที่ออกกำลังกาย จะรู้สึกเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สามารถพูดคุยได้ ไม่รู้สึกหอบ และการออกกำลังกายในโซน 2 อย่างน้อย 40 – 80 นาที จะเห็นผลการเบิร์นไขมันมากที่สุด
โซน 3 จะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 70 – 80% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด หรือ 133 – 152 ครั้งต่อนาที อาจเรียกว่าเป็นคาร์ดิโอเทรนนิ่ง (Cardio Training) ร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมันและคาร์โบไฮเดรตอย่างละครึ่ง การออกกำลังกายในโซน 3 เหมาะสำหรับการสร้างความแข็งแรงของร่างกาย (Fitness) ในระหว่างที่ออกกำลังกาย จะรู้สึกเหนื่อยสม่ำเสมอ หอบเล็กน้อย แต่ยังพูดเป็นประโยคได้
โซน 4 จะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 80 – 90% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด หรือ 152 – 171 ครั้งต่อนาที เป็นการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Exercises) กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตมากกว่าไขมัน ช่วยสร้างความทนทานของกล้ามเนื้อ และระหว่างการออกกำลังกายในโซน 4 นั้น จะรู้สึกเหนื่อยมาก พูดได้เป็นคำ ๆ หายใจเร็ว รวมถึงอาจมีอาการตึงล้าของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย
โซน 5 จะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 90 – 100% (VO2MAX) ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด หรือ 171 – 190 ครั้งต่อนาที เหมาะสำหรับนักกีฬาที่ต้องการฝึกซ้อมก่อนลงแข่งขัน ในระหว่างการออกกำลังกาย จะรู้สึกเหนื่อยมาก พูดได้ลำบาก หายใจหอบเหนื่อย
จะเห็นว่าการออกกำลังกายที่ให้ผลลดไขมันมันที่สุด คือการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ในความแรงที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ อยู่นในโซน 2 หรือราว ๆ 60 – 70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด
ที่มา
แม้ว่าวิธีการลดน้ำหนักในแต่ละคน อาจจะมีความแตกต่างกันได้ แต่หลัก ๆ แล้ว วิธีการลดน้ำหนักให้ได้ผลเร็วที่สุด อย่างน้อยต้องประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้
ตั้งเป้าหมายน้ำหนักที่ต้องการลด โดยอาจยึดตามค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) ก็ได้ ซึ่งอัตราการลดน้ำหนักที่เหมาะสมและปลอดภัย จะอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไป เพราะนอกจากจะไม่สามารถทำได้แล้ว ยังทำให้เกิดความท้อแท้ ล้มเลิก ในที่สุด
การคำนวณค่า BMR (Basal Metabolic Rate) หรืออัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน กับค่า TEE (Total Energy Expenditure) หรือพลังงานที่ต้องการใช้ต่อวัน จะทำให้เราสามารถกำหนดปริมาณแคลอรี่ที่ต้องได้รับต่อวันได้ ซึ่งหลักการคร่าว ๆ ก็คือ ควรทานอาหารให้มีพลังงานมากกว่าค่า BMR แต่น้อยกว่าค่า TTE ร่างกายก็จะดึงเอาพลังงานที่สะสมไว้ในรูปไขมันออกมาใช้
ควรออกกำลังกายแบบผสมผสานกันระหว่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic Exercises) และการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ซึ่งการออกกำลังแบบแอโรบิค จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ทั้ง BMR และ TTE ส่วนเวทเทรนนิ่ง จะช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ ทำให้ BMR ในขณะพักสูงขึ้น ทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น
นอกจากการออกกำลังกายแบบผสมผสานแล้ว ถ้าต้องการลดไขมันส่วนเกิน หรือต้องการเน้นการเบิร์นไขมัน ควรเพิ่มการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในโซน 2 เข้าไป ก็จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากการนับแคลอรี่แล้ว สูตรลดน้ำหนักทางเลือก ก็เป็นอีกวิธีลดน้ำหนักที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น วิธีการทานแบบคีโตจีนิค (Ketogenic) หรือพาลีโอ (Paleo) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม มีความปลอดภัย แต่อาจต้องพิถีพิถันมากกว่าวิธีนับแคลอรี่
อาหารเสริมลดน้ำหนักหลาย ๆ ตัว สามารถใช้เป็นตัวช่วยลดความอ้วนได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้จริง มีรีวิวดี ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ และที่สำคัญต้องดูว่าอาหารเสริมยี่ห้อนั้น ๆ ผ่านการับรองจาก อย. ว่าไม่มีสารอันตราย โดยเฉพาะไซบูทรามีน (Sibutramine) หรือเปล่า
ถึงแม้ว่าการลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องยาก แต่หลายคนมักจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะขาดความตั้งใจจริง ต้องการเห็นผลทันตา ซึ่งอาจเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นแล้วเคล็ดลับที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราสามารถลดความอ้วนได้จริง ๆ และรวดเร็ว ก็คือ ความตั้งใจและการทำตามแผนการลดความอ้วนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ล้มเลิกโดยง่าย แค่นี้เราก็จะสามารถอวดหุ่นสวยได้อย่างไม่อายใคร