อยากขาว อยากผิวขาว ดูมีสุขภาพดี ใคร ๆ ก็อยากมี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักษาให้ผิวดูขาวได้ตลอดเวลา ก็เพราะรังสียูวีจากแสงแดด รวมถึงมลภาวะต่าง ๆ ที่เข้ามาทำร้ายผิวตลอดเวลา ทำให้ผิวหมองคล้ำไม่สดใส แล้วยิ่งผิวแบบคนไทย โดนแดดแค่แป๊บเดียว จากผิวขาวกระจ่างใส ก็กลายเป็นผิวดำคล้ำได้ในพริบตา
หลายคนก็เลยเกิดคำถามว่า ถ้าอยากขาวทำไงดี ทำอย่างไรให้ผิวขาวถาวร กินอะไรช่วยให้ขาวได้มั่ง หรือถ้าอยากจะขาวภายใน 1 เดือน จะทำได้หรือเปล่า มาเลย…เรารวบรวมคำตอบไว้ให้หมดแล้วว่า อยากขาวทำไงดี
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อเลย อาหารเสริมผิวขาวที่ดีที่สุด
กลูต้าไธโอน (Glutathione) เป็นสารประกอบประเภทโปรตีนที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงที่สุด มีหน้าที่ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ช่วยการไหลเวียนเลือด รวมถึงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
กลูต้าไธโอนสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อทุกส่วน แต่จะพบมากที่สุดที่ตับและปอด เพราะสองอวัยวะนี้ เกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า กลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ช่วยชะลอวัย ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของกลูต้าไธโอน อีกทั้งยังพบว่า คนที่มีอายุยืนยาวและแข็งแรง จะมีปริมาณสารชนิดนี้ในเลือดสูงเช่นเดียวกัน
ในทางการแพทย์ จะใช้กลูต้าไธโอนในการรักษาโรคบางอย่าง เช่น ภาวะเป็นหมันในผู้ชาย ปลายประสาทอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหาร แต่เมื่อฉีดไปแล้วกลับพบอาการข้างเคียง ที่สีผิวมีการเปลี่ยนแปลง
สีผิวที่เปลี่ยนไปหลังจากฉีดกลูต้าไธโอนนั้น เกิดจากกลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ที่ทำให้ผิวหนังมีสีน้ำตาลจนถึงดำ เมื่อเมลานินลดลง สีผิวก็จะขาวขึ้น
ฉีดกลูต้าอย่างไร
การฉีดกลูต้าจะฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น และมักจะฉีดในความเข้มข้นต่ำ ๆ เพราะการได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ช็อค ความดันต่ำ หลอดลมตีบ หายใจไม่ออก และอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
เนื่องจากกลูต้าไธโอนเป็นสารที่สลายตัวได้ไว ทำให้ฤทธิ์หลังจากฉีดอยู่ได้เพียงสั้น ๆ ไม่ได้ทำให้ขาวอย่างถาวร ทำให้ต้องฉีดซ้ำบ่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้เม็ดสีในดวงตาลดลง และอาจส่งผลต่อการมองเห็น
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อเลย 10 ” โรงงานรับผลิตเครื่องสำอางยอดฮิต
ไม่อยากฉีด กินหรือทากลูต้าแทนได้ไหม
ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าการรับประทานกลูต้าจะช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้เทียบเท่าการฉีด และเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว เอนไซม์ในทางเดินอาหาร ก็สามารถทำลายโครงสร้างของกลูต้าได้ และที่สำคัญ ขนาดโมเลกุลของกลูต้าไธโอน ก็ใหญ่เกินกว่าที่จะถูกดูดซึมผ่านลำไส้เล็ก
ในต่างประเทศ จะมีอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของอะซิทิลซิสเทอีน (Acetyl Cysteine) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายจะนำมาใช้สร้างกลูต้าไธโอนได้ แต่ในบ้านเรายัง อย. ยังไม่อนุญาตให้ใช้สารตัวนี้เป็นอาหารเสริม
ส่วนการใช้กลูต้าแบบทา ก็ยังไม่มีหลักฐานมารองรับเท่าใดนัก และขนาดโมเลกุลที่ใหญ่ ก็อาจทำให้การดูดซึมกลูต้าไธโอนผ่านผิวหนัง ทำได้อย่างจำกัด
วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีคุณสมบัติเป็นกรด ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีได้เอง ต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร
วิตามินซีเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางชีวเคมีหลายกระบวนการ ทั้งการสังเคราะห์ฮอร์โมน สารสื่อประสาท รวมถึงยังมีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินซีมีความจำเป็นในกระบวนการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
การขาดคอลลาเจนในชั้นผิว จะทำให้โครงสร้างของผิวหนังมีความผิดปกติ ไม่เต่งตึง เหี่ยวย่น เกิดร่องลึก อีกทั้งยังทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ดูสุขภาพไม่ดี
นอกจากนี้ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของวิตามินซี ยังช่วยปกป้องผิวหนังจากความดำคล้ำจากแสงแดด ช่วยให้สีผิวเรียบเสมอกัน ผิวดูสดใสมีสุขภาพดีมากขึ้น
แพทย์อาจฉีดวิตามินซีร่วมกับกลูต้าไธโอน เพราะการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้เห็นผลผิวขาวกระจ่างใสได้เร็วขึ้น
ฉีดวิตามินซีดีอย่างไร
การฉีดวิตามินซีจะเป็นการส่งวิตามินซีพร้อมใช้ให้กับร่างกายทางกระแสเลือด ไม่จำเป็นต้องรอดูดซึม ฉีดเท่าไรก็เข้าสู่กระแสเลือดเท่านั้น ทำให้เห็นผลผิวใสได้เต็มที่
ฉีดวิตามินซี จะมีสารตกค้างไหม
เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ สามารถถูกกำจัดออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็วทางปัสสาวะ ทำให้ปริมาณสะสมในร่างกายน้อย มีความเป็นพิษต่ำ แต่ก็ควรระวังในคนที่เป็นโรคนิ่ว เพราะความเป็นกรดจากวิตามินซี จะเร่งการตกตะกอนของก้อนนิ่ว
ฉีดได้ครั้งละเท่าไร ถึงจะเหมาะสม
ถึงแม้ว่าวิตามินซีจะมีความเป็นพิษต่ำ แต่เพื่อความปลอดภัย การฉีดแต่ละครั้งก็ไม่ควรเกิน 2,000 – 5,000 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ และหลังจากฉีดทุกครั้ง ก็ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะจะช่วยกำจัดวิตามินซีส่วนเกินออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น
ควรฉีดวิตามินซีที่ไหนดี
ควรฉีดที่คลินิกที่มีแพทย์ประจำอยู่ เพราะบางคนอาจจะมีปฏิกิริยาต่อต้านหลังจากฉีดวิตามินซีได้ อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนที่ผิว หนาวสั่น รู้สึกจะเป็นไข้ แพทย์ก็จะช่วยสังเกตอาการและแก้ไขความผิดปกติต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ควรฉีดวิตามินซีกันเอง เพราะอาจเกิดอันตรายจากเทคนิคการฉีดยาที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากอุปกรณ์หรือสถานที่ที่ไม่สะอาดอีกด้วย
การใช้เครื่องสำอางกลุ่มไวท์เทนนิ่ง (Whitening) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผิวขาวขึ้น โดยที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการฉีดสารต่าง ๆ เข้าร่างกาย
เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นครีม เซรั่ม โลชั่น โฟมล้างหน้า หรือสบู่ จะมีส่วนผสมที่มีความปลอดภัย สามารถช่วยทำให้ผิวค่อย ๆ ขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียตามมา มาดูกันเลยว่าส่วนผสมที่ว่า จะมีอะไรบ้าง
อัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha-Arbutin)
เป็นสารที่สกัดมาจากพืชตระกูลแบร์เบอร์รี่ (Bearberry) มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำให้ปริมาณเม็ดสีเมลานินลดลง เป็นสารสกัดที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสได้อย่างรวดเร็ว มักใช้เป็นส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งราคาแพง อีกทั้งยังช่วยลบเลือนจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรดโกจิค (Kojic Acid)
เป็นสารที่ช่วยให้ผิวขาวจากธรรมชาติ เป็นผลพลอยได้จากการหมักเหล้าสาเก มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ในไวท์เทนนิ่งส่วนใหญ่ จะใส่สารตัวนี้ในความเข้มข้น 1 – 4% ซึ่งมีความปลอดภัย ไม่ก่อความระคายเคือง ช่วยให้ผิวดูขาวขึ้น จุดด่างดำต่าง ๆ ดูจางลง ช่วยลดรอยแผลเป็น และยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ที่อาจทำให้เกิดสิวและโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้ด้วย
โปรวิตามินบี 3 (Pro-Vitamin B3)
โปรวิตามินบี 3 หรือไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) มีสรรพคุณช่วยทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอกัน ช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิว ทำให้โครงสร้างของผิวแข็งแรงและทนต่อมลภาวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมที่ยังช่วยกระชับรูขุมขน เหมาะกับคนที่อยากหน้าขาวและมีปัญหารูขุมขนกว้างร่วมด้วย
กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid)
กรดไกลโคลิคมีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยเปลี่ยนชั้นผิวใหม่อย่างอ่อนโยน ทำให้เผยผิวใหม่ที่มีความขาวกระจ่างใสมากขึ้น นอกจากนี้กรดไกลโคลิค ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ที่เป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ
กรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid)
กรดไลโนเลอิคเป็นกรดไขมันชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ทำให้ผิวที่หมองคล้ำหลุดลอกออกไปได้เร็วขึ้น และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสร่วมด้วย ทำให้ช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยลดปัญหาผิวแห้งแตก และผิวหนังอักเสบจากการโดนแสงแดดได้
เรตินอล (Retinol)
เรตินอลหรือวิตามินเอ (Vitamin A) มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ชั้นผิวที่หมองคล้ำ หลุดออกไปได้เร็วขึ้น และยังมีฤทธิ์ลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยลดความมันบนใบหน้า จึงเป็นส่วนผสมที่เหมาะกับคนที่มีผิวหมองคล้ำ ร่วมกับมีผิวมันหรือเกิดสิวได้ง่าย
AHA (Alpha Hydroxy Acid)
AHA หรือกรดผลไม้ มีความเป็นกรดอ่อน ๆ ได้มาจากการสกัดผลไม้ มีฤทธิ์ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้หนังกำพร้าที่ดำคล้ำ หลุดลอกออกไปได้เร็วขึ้น และยังช่วยลดรอยดำจากสิวได้เป็นอย่างดี ในเครื่องสำอางส่วนใหญ่ จะผสม AHA ในปริมาณต่ำ ๆ ไม่เกิน 5% เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาการแพ้ เช่น อาการแสบผิว ผิวลอก แต่ถ้าความเข้มข้นสูงกว่านั้น การใช้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
วิตามินซี
ถ้าใครไม่อยากฉีดวิตามินซี ก็อาจเลือกวิตามินซีแบบทาภายนอกมาใช้แทนก็ได้ แต่ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับการทดสอบแล้วว่าตัววิตามินซีในเนื้อครีม สามารถซึมซาบลงสู่ผิวได้จริงและในปริมาณที่ออกฤทธิ์ได้ ก็จะทำให้ได้คุณประโยชน์จากวิตามินซี ทั้งเรื่องผิวใส การลบเลือนรอยด่างดำ และการต้านอนุมูลอิสระอย่างเต็มที่
กลูต้าไธโอน
อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่า กลูต้าไธโอนแบบทาอาจยังไม่มีหลักฐานหรืองานวิจัยต่าง ๆ ออกมารองรับอย่างเพียงพอ ดังนั้นถ้าจะเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน ก็ควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยทำให้ผิวขาวอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็จะได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กลุ่มไวท์เทนนิ่ง ควรเลือกอย่างระมัดระวัง และต้องผ่านการรับรองจาก อย. มีเลขจดแจ้งที่ตรงกับชื่อผลิตภัณฑ์ เมื่อมองจากภายนอกแล้วแพคเกจดูน่าเชื่อถือ หรือมีรีวิวตามอินเตอร์เน็ตในทางบวก
ควรหลีกเลี่ยงการซื้อครีมผิวขาว ครีมผิวใส ที่โฆษณาไว้ว่าเห็นผลเร็ว เห็นผลทันที หรือเห็นผลถาวร เพราะมีความเสี่ยงที่จะผสมสารต้องห้ามต่าง ๆ เช่น ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สเตอรอยด์ (Steroids) รวมถึงตะกั่ว (Lead) และปรอท (Mercury) ซึ่งเป็นสารโลหะหนัก สามารถซึมเข้าสู่ร่างกาย และก่อให้เกิดพิษตามมา
การลอกผิวด้วยเคมี จะใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นกรด ทั้งที่สกัดจากธรรมชาติ หรือจะเป็นสารสังเคราะห์ก็ได้ เมื่อทาสารเหล่านี้ลงไปบนผิว ก็จะกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใสมากขึ้น
สารที่นิยมใช้ในการลอกผิว มักจะเป็น AHA ซึ่งมีความปลอดภัย ก่อความระคายเคืองน้อย มีฤทธิ์ไม่รุนแรงมาก ซึ่งการลอกผิวด้วยเคมี จะใช้ AHA เข้มข้นตั้งแต่ 20 – 70% โดยขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
นอกจากความขาวกระจ่างใสแล้ว การลอกผิวด้วย AHA ยังมีสรรพคุณช่วยชะลอความชรา ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จึงช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง ดูเรียบเนียน ริ้วรอยต่าง ๆ ก็ดูจางลง
การลอกผิวด้วยเคมี ควรอยู่ใต้การดูแลของแพทย์ เพราะถ้าทำโดยคนที่ไม่ชำนาญ อาจทำให้เกิดอันตรายต่าง ๆ เช่น อาการแพ้อย่างรุนแรง ผิวหนังอักเสบ แดง ลอก หรือรอยแผลเป็น
หลังการลอกผิวด้วย AHA แล้ว อาจจะทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และค่า PA ที่เหมาะสม ก็จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้
Microdermabrasion หรือ การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี จะใช้ผงแร่ที่มีขนาดเล็กและละเอียด เช่น ผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ (Aluminum Oxide) ขัดเอาหนังกำพร้าและเซลล์ที่ตายแล้วออกไป จึงช่วยกระตุ้นกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ช่วยเผยผิวใหม่ที่มีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง เต่งตึง ดูมีสุขภาพดี
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี สามารถช่วยรักษาผิวหมองคล้ำจากแสงแดด ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอกัน ช่วยกำจัดรอยสิว หรือจุดด่างดำต่าง ๆ ช่วยทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางลง ช่วยเรื่องรูขุมขนกว้าง และยังใช้รักษาผิวแตกลายได้ด้วย
นอกจากนี้การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี ยังไม่ทำให้ผิวอักเสบแดง ไม่เจ็บ ผิวสามารถฟื้นตัวได้เร็ว เพียง 1 – 24 โมง หลังทำ ต่างกับการลอกผิวด้วยเคมี (Chemical Peel) ที่อาจต้องใช้เวลาถึง 1 สัปดาห์ กว่าผิวจะกลับมาแข็งแรงดังเดิม
อย่างไรก็ตาม เพื่อผลลัพธ์หน้าขาวกระจ่างใสที่สุด ควรเข้ารับการกรอผิวด้วยอัญมณีติดต่อเนื่องอย่างน้อย 6 ครั้ง หลังจากนั้นก็ให้บำรุงผิวตามปกติเป็นประจำ ก็จะช่วยให้ผิวขาวใสได้ตามใจต้องการ
ถ้าอยากมีผิวที่ขาวกระจ่างใสอย่างถาวร การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะประเทศไทยอยู่ในเขตศูนย์สูตร เป็นโซนที่รังสียูวีในแสงแดดมีความเข้มข้นสูง แม้แสงแดดอ่อน ๆ ก็อาจทำให้ผิวหมองคล้ำได้โดยไม่รู้ตัว
ประสิทธิภาพของครีมกันแดด สามารถดูได้ที่ค่า SPF และค่า PA โดยค่า SPF (Sun Protection Factor) จะบ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี (UVB) ที่ทำให้เกิดความหมองคล้ำ
ส่วนค่า PA (Protection Grade of UVA) จะแสดงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอ (UVA) ที่จะเข้ามาทำร้ายโครงสร้างผิว ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ดูแก่กว่าวัย
การเลือกครีมกันแดด ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว ถ้าเป็นคนที่ผิวไม่ขาวจัดหรือผิวไหม้แดดยาก ก็ไม่จำเป็นต้องเลือก SPF สูง ๆ เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้น แถมยังเสี่ยงต่อการอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดสิวได้ แต่ถ้ามีผิวไวต่อแสงมาก ผิวไหม้ง่าย ก็อาจเลือกครีมที่มี SPF สูง ๆ
สำหรับแดดเมืองไทยแล้ว เพื่อประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ ก็ควรเลือก PA+++ ขึ้นไป หรือในบางยี่ห้อ อาจจะไม่ได้ระบุเป็นค่า PA แต่จะระบุเป็น Broad Spectrum Sunscreen ซึ่งหมายความว่า สามารถปกป้องผิวทั้งจาก UVA และ UVB
นอกจากการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมแล้ว การใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันผิวจากความหมองคล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดสัก 15 นาที เพื่อให้สารกันแดดออกฤทธิ์ได้เต็มที่ และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดอย่างต่อเนื่อง
และสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ใช้ครีมกันแดดแล้วสิวขึ้น ก็อาจเปลี่ยนมาใช้ครีมกันแดดแบบสะท้อนกลับ (Physical Sunscreen) ที่จะสะท้อนกลับรังสียูวี แทนการดูดซับไว้โดยสารเคมี เหมือนกับครีมกันแดดแบบเดิม ๆ
ถ้ากลัวสารเคมี ไม่อยากฉีด ไม่อยากทาอะไรทั้งนั้น ก็อาจลองใช้สูตรขาวแบบธรรมชาติ 3 สูตรด้านล่างนี้ ที่ใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย ๆ อย่างพืชผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส และยังมั่นใจว่าปลอดภัยจากสารเคมีต่าง ๆ ได้ 100%
โยเกิร์ตเป็นส่วนผสมที่นิยมนำมาใช้ เพื่อทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วยกรดแลคติก (Lactic Acid) และ AHA ที่สามารถขจัดเซลล์ผิวชั้นนอกออกอย่างอ่อนโยน ช่วยปรับสีผิวให้เรียบเนียนเสมอกันมากขึ้น ส่วนน้ำผึ้งมีสรรพคุณช่วยประโลมผิว ช่วยลดความเสียหายของผิวจากแสงแดดและสารเคมี และยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวอีกหลายชนิด
ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติและน้ำผึ้งแท้ อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปมาส์กบนผิวให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 – 30 นาทีแล้วล้างออก
ในน้ำมะนาวมี AHA และกรดชนิดอื่น ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยขจัดสิ่งอุดตัน ช่วยลดความหมองคล้ำ อีกทั้งยังมีวิตามินซีสูง ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวมากขึ้น ทำให้ผิวฟูนุ่ม ดูเต่งตึง มีสุขภาพดี
แช่สำลีแผ่นในน้ำมะนาวคั้นสด ๆ ให้ชุ่ม แล้วนำมาทาที่ผิว ทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก ควรหลีกเลี่ยงการทาลงบนผิวที่เป็นแผล เพราะจะทำให้เกิดความระคายเคือง และถ้ารู้สึกแสบผิว ก็ให้รีบล้างออกทันที
นอกจากนี้ อาจเปลี่ยนจากน้ำมะนาวเป็นน้ำมะขามเปียกแทนก็ได้ เพราะอุดมไปด้วย AHA และวิตามินซีเหมือนกัน และอาจเพิ่มน้ำผึ้งลงไปในสูตร เพื่อลดอาการระคายเคืองผิว ที่อาจจะเกิดขึ้น
ว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งมีสรรพคุณช่วยดูแลผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผิวจากแสงแดด และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่ผิวหนัง
ล้างวุ้นว่านหางจระเข้ให้สะอาด แล้วเติมน้ำมะนาวลงไป 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปทาที่ผิวในจุดที่ต้องการ ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
นอกจาก 3 สูตรด้านบนแล้ว ยังมีสูตรผิวหน้าขาวใสจากธรรมชาติอีกหลาย ๆ สูตร ถ้าผู้อ่านสนใจก็สามารถค้นดูจากอินเตอร์เน็ตได้เลย
ที่มา
นอกจากการประโลมผิวด้วยเครื่องสำอางแล้ว “อาหาร” ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้มี ผิวขาว กระจ่างใสได้ง่าย ๆ เพียงแค่รู้จักเลือกกินให้เป็น
วิตามินซีเป็นมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ถ้าขาดวิตามินซี ก็จะทำให้โครงสร้างของคอลลาเจนไม่สมบูรณ์ ผิวดูเหี่ยวย่น ไม่สดใส และหมองคล้ำ
ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง รวมถึงผักหลายชนิด เช่น บล็อกโคลี่ พริกหยวก ผักโขม และมะเขือเทศ
อย่างไรก็ตาม วิตามินซีเป็นวิตามินที่ไม่ทนต่อความร้อน การปรุงผักต่าง ๆ ข้างต้นด้วยความร้อนนานเกินไป ก็อาจทำให้วิตามินซีสูญสลายไปได้
วิตามินเอมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ ในเครื่องสำอางหลาย ๆ ตัว จะผสมวิตามินชนิดนี้ลงไปด้วย เพราะมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว และยังจำเป็นต่อความแข็งแรงของผิวหนัง
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ ตับ ไข่ เนื้อสัตว์ ปลาทะเล น้ำมันตับปลา รวมถึงผักและผลไม้สีเหลืองและสีส้ม เช่น ฟักทอง แครอท มะม่วง ซึ่งมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) สูง ที่สามารถถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นวิตามินเอในร่างกายได้
ถั่วเหลืองจัดเป็น Superfoods ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ได้แก่ มีโปรตีนสูง มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังเป็นแหล่งของไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่ดี
ไฟโตเอสโตรเจนเป็นสารกลุ่มไอโซฟลาโวน (Isoflavones) มีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จึงออกฤทธิ์คล้ายกันได้ ช่วยให้ผิวพรรณดูกระจ่างใส มีน้ำมีนวล และยังมีสรรพคุณช่วยชะลอวัย ป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย
สังกะสี (Zinc) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ว่าจะต้องการในปริมาณที่น้อยนิด แต่ก็ขาดไม่ได้ สังกะสีมีหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การสังเคราะห์ฮอร์โมน ไปจนถึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
สังกะสียังจำเป็นต่อสุขภาพที่ดีของผิวหนัง เพราะช่วยให้บาดแผลสมานตัวได้เร็วขึ้น ช่วยลดสิว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด จึงทำให้ผิวดูกระจ่างใส มีสุขภาพดี โดยอาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม เมล็ดงา และถั่วต่าง ๆ
หลังจากผิวสัมผัสกับแสงแดด ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างผิวหลายประการ โดยเฉพาะกระบวนการอักเสบ ที่ทำให้แสบคันที่ผิว และกระตุ้นให้เกิดความหมองคล้ำ
โยเกิร์ตเป็นแหล่งของโพรไบโอติก (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตนับล้าน ๆ ตัว สามารถสร้างสารลดการอักเสบในร่างกายได้ จึงช่วยลดการอักเสบและความหมองคล้ำของผิวหนังหลังสัมผัสกับแสงแดด นอกจากนี้ในโยเกิร์ตยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเพิ่มความใสให้กับผิว
ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะไม่ได้ทำให้ผิวขาวได้โดยตรง แต่ด้วยสรรพคุณที่การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้วิตามินอี สามารถช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด มลภาวะ รวมถึงสารเคมีต่าง ๆ ได้
นอกจากการมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน ผ่องใส มีน้ำมีนวล ไม่แห้งกร้าน และดูมีสุขภาพดี
อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว เมล็ดธัญพืช รวมถึงถั่วต่าง ๆ
กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น มีความจำเป็นต่อสุขภาพที่ดีของระบบประสาท การมองเห็น และผิวหนัง
โอเมก้า-3 ยังมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการผิวคล้ำและไหม้จากแสงแดดได้ ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ไว มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดความหยาบกร้านและแห้งแตกจากแสงแดด ทำให้ผิวดูผ่องใสอยู่เสมอ
นอกจากผักและผลไม้จะมีวิตามินที่ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสแล้ว ก็ยังมีสารพฤกษเคมี (Phytonutrients) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายตัว ได้แก่
สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ จะช่วยปกป้องเซลล์จากมลภาวะและสารเคมี อีกทั้งยังช่วยขับสารพิษ ทำให้ผิวดูกระจ่างใส มีสุขภาพดีจากภายใน
เห็นไหมว่า นอกจากการดูแลผิวจากภายนอกแล้ว เรายังช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสได้จากภายใน ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพผิว ซึ่งนอกจากจะสวยที่ภายนอกแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพของร่างกายโดยรวมดีขึ้นอีกด้วย
ที่มา
www.onlymyhealth.com/health-slideshow/10-best-foods-for-skin-whitening-1389339912.html
www.allisontannis.com/read/8-foods-brighten-complexion/
www.lovefitt.com/healthy-fact/ประโยชน์ของผักผลไม้-5-สี/
อีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะถึงวันสำคัญแล้ว แต่ผิวยังหมองคล้ำจากแดด ดูไม่สดใสอยู่เลย เป็นไปได้ไหม ถ้าอยากขาวขึ้นภายใน 1 เดือน เพื่อให้ทันกับวันสำคัญ
เป็นไปได้อย่างแน่นอน ก็เพราะรอบการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวในคนปกติ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 28 วัน หรือ 1 เดือน เมื่อเซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกไป ก็จะทำให้ชั้นผิวใหม่ที่มีความสดใสมากกว่า ขึ้นมาแทนที่
แต่ทั้งนี้รอบการผลัดเซลล์ผิวในแต่ละคนอาจต่างกันได้ ขึ้นกับหลากหลายปัจจัย ทั้งสภาพแวดล้อม กรรมพันธุ์ รวมถึงสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เวลา 1 เดือนที่ว่ามานี้ ไม่เพียงพอกับการเปลี่ยนจากผิวดำคล้ำให้กลับมาขาวกระจ่างใส
แล้วจะทำอย่างไรดี
ถ้าต้องการเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น เราก็ต้องใช้วิธีลัด ซึ่งมีตั้งแต่วิธีที่ทำได้ด้วยตนเอง ไปจนถึงวิธีที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ ได้แก่
เครื่องสำอางที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation) หรือสครับ (Scrub) จะมีส่วนผสมของเม็ดบีดส์เล็ก ๆ ที่มีความละเอียด เมื่อนำลงไปขัดบนผิว เม็ดบีดส์จะกลิ้งไปกลิ้งมา ช่วยขจัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก เร่งการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น
นอกจากนี้สครับบางตัว อาจจะใส่สารที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวมาด้วย เช่น กรดไกลโคลิค วิตามินซี กรดซาลิไซลิค รวมถึงกรด AHA จากธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวเกิดการอักเสบ และกระตุ้นให้เกิดสิว ที่อาจรักษาได้ยากกว่าความหมองคล้ำ
ถ้าการสครับผิวยังไม่ทันใจ ก็คงต้องไปปรึกษาการฉีดกลูต้าไธโอนและวิตามินซีที่คลินิกความงามกันแล้ว ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้ ก็เห็นผลผิวขาวผิวใสได้อย่างทันใจ
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ถึงแม้ว่าจะสร้างได้เองในร่างกาย แต่การฉีดเข้าหลอดเลือดดำในปริมาณสูง จะช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ที่ใช้สร้างเม็ดสีเมลานิน จึงช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนวิตามินซีก็จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล ผ่องใส และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการฉีดกลูต้าได้
อย่างไรก็ตาม การฉีดสารทั้งสองชนิดนี้เข้าร่างกาย ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะบางคนอาจจะแพ้สาร ทำให้หลอดลมตีบแคบ หายใจไม่ออก และอาจทำให้เสียชีวิตได้
การลอกผิวด้วยสารเคมี จะใช้สารที่มีคุณสมบัติเป็นกรด เช่น กรดผลไม้ (AHA) กรดบีเอชเอ (BHA) กรดซาลิไซลิค (Salicylic Acid) สารละลายเจสเนอร์ (Jessner’s Peeling) กรดวิตามินเอ (Retinoic Acid) และกรดไตรคลอโรอซิติก (Trichloroacetic Acid) แต่ที่นิยมใช้ในคลินิกความงาม มักจะเป็นกรด AHA เสียมากกว่า
AHA ในเครื่องสำอางทั่ว ๆ ไป มักจะมีความเข้มข้นประมาณ 5 – 10% ซึ่งมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรง แต่การลอกผิวด้วยเคมีนี้ จะใช้ AHA ความเข้มข้นสูง 30 – 70% ซึ่งต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และจะใช้ความเข้มข้นของกรดเท่าไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ตัดสินใจ
การลอกผิวด้วยสารเคมี ใช้รักษาอะไรได้บ้าง
ผลข้างเคียงของการลอกผิวด้วยเคมี
ข้อควรปฏิบัติหลังการลอกผิวด้วยเคมี
อย่างไรก็ตาม ควรระวังการโฆษณาชวนเชื่อให้ซื้อน้ำยาฟอกผิวขาว ที่มีขายกันเกลื่อนในอินเตอร์เน็ต และมักโฆษณาว่าช่วยลอกผิวขาวได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ เห็นผลทันที ซึ่งน้ำยาฟอกผิวเหล่านี้ มักมีส่วนผสมของกรดในความเข้มข้นสูงเกินมาตรฐานทางการแพทย์ ก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบอย่างรุนแรง แสบร้อน ผิวไหม้ และทำให้ผิวลอกออกมาเป็นแผ่น ๆ และสุดท้ายก็อาจทำให้ผิวหนังบอบบาง ไม่สามารถทนแสงแดดได้ และยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
การกรอผิวด้วยอัญมณี จะช่วยขจัดเซลล์ผิวชั้นนอกสุดออกไป ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่เกิดได้เร็วขึ้น จึงช่วยลดรอยดำจากสิว ลบรอยแผลเป็น ช่วยรักษาผิวแตกลาย ทำให้รูขุมขนกระชับดูเล็กลง ผิวหน้าจึงเรียบเนียน และขาวใสมากขึ้น
การกรอผิวด้วยอัญมณีในแต่ละครั้ง ใช้เวลาไม่นาน ไม่เกิน 40 – 60 นาที อีกทั้งยังไม่ทำให้เกิดรอยแผล แต่อาจมีรอยแดงได้เล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองหลังจากทำ 1 – 2 ชั่วโมง
การบำรุงจากภายใน ก็สามารถกระตุ้นให้มีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสได้เร็วแบบ X2
นอกจากนี้อาจเร่งผิวขาวด้วยการใช้อาหารเสริมผิวขาว เช่น กลูต้าไธโอน คอลลาเจน สารกลัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract) และวิตามินซี ก็จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ที่มา
ทำไมคนไทยถึงชอบการมีผิวขาว อาจเป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก เพราะเป็นเรื่องของความสวยความงาม เป็นรสนิยม ที่อยู่บนพื้นฐานจากปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่หล่อหลอมความคิดของคนไทยมาช้านาน
คนไทยในสมัยก่อน ถ้าเป็นกลุ่มคนชั้นสูงหรือเจ้านาย ที่ไม่จำเป็นต้องทำไร่ทำนา ไม่ต้องออกแดด ก็จะทำให้ผิวดูขาวกว่า และดูสะอาดสะอ้านกว่ากลุ่มคนชั้นล่าง บ่าวไพร่ หรือเกษตรกร ที่ต้องทำงานหนัก ตากแดดตากลม ทำให้ผิวคล้ำและกร้านแดด ซึ่งถ้ามองจากมุมมองนี้ ก็อาจจะทำให้คนที่มีผิวคล้ำ อยากเปลี่ยนสีผิวของตนให้ขาวขึ้น เพื่อยกระดับของตนเองให้สูงกว่าเดิม
นอกจากนี้ ความเชื่อและรสนิยมของผู้ชาย ที่มักชื่นชอบหญิงสาวที่มีผิวขาว หมวย ว่าดูเซ็กซี่ ดูยั่วยวน ก็ยิ่งทำให้ผู้หญิงหลาย ๆ คนที่มีผิวคล้ำ ต้องเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้ตกเป็นที่หมายปอง
และเมื่อผนวกกับอิทธิพลของสื่อ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ที่มักใช้ดารานักแสดงที่มีผิวขาวเป็นนางเอกเป็นพระเอก ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื้อที่ว่า “ความสวยคือความขาว” และ “ความหล่อคือความขาว” ให้กับคนไทย
และการมีผิวหมองคล้ำ ก็มักจะเป็นปมด้อย ทำให้โดนล้อเลียน ถึงแม้ว่าจะหน้าตาดี ก็จะโดนล้อเรื่องผิวอยู่ดี จึงทำให้คนที่มีผิวคล้ำ ต้องพยายามทำให้ผิวของตัวเองดูขาวขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความอับอาย
ที่มา