แก่ก่อนวัย เป็นที่แน่นอนว่า เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราก็จะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา กอปรกับกระบวนการฟื้นฟูที่เสื่อมถอย ส่งผลให้ผิวพรรณที่เคยกระชับและเต่งตึง ถูกแทนที่ด้วยริ้วรอยแห่งวัยและความหย่อนคล้อย
ถึงแม้ว่ากระบวนการดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นตามอายุ แต่ด้วยวิถีการดำรงชีวิตของคนสมัยใหม่ และปัจจัยอีกหลายประการ ส่งผลให้ความเสื่อมของผิวเกิดเร็วขึ้นกว่าเดิม ทำให้หลายคนตกอยู่ในสภาวะ “แก่ก่อนวัย” ทั้ง ๆ ที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบปี
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อเลย 10 ยี่ห้อคอลลาเจนที่ดีที่สุด
แสงแดด
แสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญของผิวที่แก่ก่อนวัย โดยในแสงแดดจะมีรังสียูวี ซึ่งมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ รังสียูวีเอ และรังสียูวีบี โดยรังสียูวีเอจะมีพลังงานในการทะลุทะลวงผิวหนังได้สูงกว่ารังสียูวีบี ทำให้โครงสร้างของผิวหนังเปลี่ยนแปลง คอลลาเจนในชั้นผิวถูกทำลาย เมื่อโครงสร้างผิวเปลี่ยนไป ก็จะทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึง เกิดรอยย่นต่าง ๆ ริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงความหยาบกร้านของผิว
ส่วนรังสียูวีบี จะส่งผลให้ผิวแลดูหมองคล้ำ ไม่สดใส ถ้าในคนที่ผิวขาวจัด ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะผิวไหม้ (Sun Burn) ซึ่งจะมีอาการผิวแดง แสบร้อน และผิวแห้งลอกได้ ซึ่งการป้องกันผิวจากแสงแดด ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ที่มีค่า SPF และค่า PA ที่เหมาะสม ก็จะช่วยป้องกันอาการผิวแก่ก่อนวัยได้
การสูบบุหรี่
นอกจากสารพิษในควันบุหรี่ จะเป็นสารก่อมะเร็งหลายชนิดแล้ว สารอนุมูลอิสระนับพันชนิด ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ นำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์ก่อนวัยอันควร
อีกทั้งการสูบบุหรี่ ยังทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบตัว (vasoconstriction) ทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวได้ลดลง ผิวหนังจึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนลดลง เกิดการสะสมของสารพิษ ก็จะยิ่งทำให้เซลล์ผิวหนังเสียหายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้การสูบบุหรี่ ยังส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน และโปรตีโอไกลแคนในชั้นผิวถูกทำลาย ทำให้ผิวดูหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ ขาดความเต่งตึงและชุ่มชื้น ดูแก่กว่าวัย ซึ่งสามารถยืนยันได้ด้วยการทดลอง ที่เปรียบเทียบคู่แฝดแท้ โดยพบว่าแฝดคนที่สูบบุหรี่ จะดูแก่กว่าแฝดที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ถึง 57%
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อเลย 10 อันดับ อาหารเสริมผิวขาวที่ดีที่สุด
การนอนไม่เพียงพอ
การนอนหลับให้สนิทตลอดทั้งคืน อย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ การซ่อมแซมร่างกายเป็นไปอย่างปกติ ทำให้อารมณ์แจ่มใส ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า
การนอนไม่พอ โดยเฉพาะการนอนหลังเวลา 4 ทุ่ม จะทำให้โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตมาจากต่อมใต้สมอง มีปริมาณลดลง ทำให้การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การเจริญเติบโตของเซลล์ การทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน และการทำงานของระบบเผาผลาญ มีความผิดปกติได้
ดังนั้นแล้ว เราจึงสังเกตได้ว่า ช่วงไหนที่เรานอนหลับไม่พอ หรือนอนดึกติดต่อกันหลาย ๆ วัน ผิวพรรณก็จะไม่ค่อยสดชื่น ดูคล้ำทั้ง ๆ ที่ไม่ออกแดด ริ้วรอยต่าง ๆ เห็นชัดเจนขึ้น และถ้าเรายังทำพฤติกรรมเหล่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ อาการแก่ก่อนวัย ก็จะถามหาอย่างแน่นอน
การดื่มแอลกอฮอล์
ถึงแม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย เลือดสูบฉีดดี แต่ถ้าดื่มเยอะเกินไป นานวันเข้า ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย ไม่เฉพาะโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับเท่านั้น ยังทำให้เราดูแก่ก่อนวัยได้นับ 10 ปี
เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสารพิษและสารอนุมูลอิสระ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนัง และยังทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง ริ้วรอยต่าง ๆ ดูชัดขึ้น
การได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
ถึงแม้ว่าเราจะทานอาหารอิ่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะได้รับสารอาหารต่าง ๆ ครบถ้วนเพียงพอ โดยเฉพาะสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว ที่อาจพบได้ในอาหารบางประเภทเท่านั้น
การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว ก็จะทำให้โครงสร้างของผิวมีความผิดปกติ กระบวนการซ่อมแซมผิวทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผิวดูแก่ก่อนวัย หยาบกร้าน ไม่สดใส
ความเครียด
ภาวะเครียด (Stress) จะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานมากขึ้น เช่น ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบควบคุมสารน้ำในร่างกาย รวมถึงระดับฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกาย ซึ่งเราจะสังเกตได้จากอาการต่าง ๆ ที่แสดงออกมาเวลาที่เราเครียดหรือวิตกกังวล เช่น เหงื่อแตก กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว หิวบ่อย นอนไม่หลับ ร่างกายขาดน้ำ เป็นต้น
การที่ระบบต่าง ๆ ในข้างต้น ถูกกระตุ้นบ่อยเกินไป ทั้งจากความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) โรคซึมเศร้า (Depression) หรือความวิตกกังวล (Anxiety) จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานแย่ลง เกิดอนุมูลอิสระต่าง ๆ มากขึ้น
ทำให้สารพันธุกรรมของเซลล์เสียหาย เกิดความผิดปกติของเซลล์และเนื้อเยื่อ สุดท้ายแล้วผลที่เกิดขึ้น ก็จะแสดงออกมาในรูปของอาการแก่ก่อนวัยนั่นเอง
นอกจากนี้ การแสดงสีหน้าท่าทางต่าง ๆ ซ้ำ ๆ กัน ในระหว่างที่เกิดความเครียด เช่น การขมวดคิ้ว ก็จะยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยที่หน้าผาก
การทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงเป็นประจำ
นอกจากอาหารที่มีน้ำตาลสูง จะก่อให้เกิดโรคอ้วนและโรคเบาหวานแล้ว เรายังพบว่า การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ยังทำให้เราแก่ก่อนวัยได้อีกด้วย
เมื่อน้ำตาลถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไปตามกระแสเลือดแล้ว อาจเกิดกระบวนการไกลเคชัน (Glycation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่โมเลกุลของน้ำตาลไปจับกับโมเลกุลของโปรตีน เช่น เส้นใยคอลลาเจน หรืออีลาสติน ก็จะทำเกิดสารพิษ ทำให้โครงสร้างของคอลลาเจนและอีลาสตินเสียหายได้
นอกจากนี้ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ยังก่อให้เกิดกระบวนการอักเสบ ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยไม่แข็งแรง แตกง่าย ผิวหนังไม่ยืดหยุ่น รวมถึงเซลล์ในชั้นผิวถูกทำลาย
การทานอาหารที่มีเส้นใยสูง หรือมีค่าไกลซีมิคอินเด็กซ์ (Glycemic Index) ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง หรือธัญพืชไม่ขัดสี ก็จะช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างทันทีได้ จึงช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผิว แถมยังช่วยลดโอกาสของโรคเบาหวานได้ด้วย
เห็นไหมว่าสาเหตุที่ทำให้ผิวของเรานั้น “ดูแก่กว่าวัย” มีได้หลายประการ และการที่เราจะป้องกันอาการแก่ก่อนวัย เพื่อรักษาผิวสวยให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ก็คือการหลีกเลี่ยงและป้องกันผิวจากสาเหตุต่าง ๆ ข้างต้นนั่นเอง
ที่มา
อนุมูลอิสระ (Oxidants) เป็นคำที่เราเริ่มได้ยินบ่อยขึ้นในสมัยนี้ ซึ่งเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับภาวะที่เรียกว่า “อาการแก่ก่อนวัย” นั่นเอง
อนุมูลอิสระ หรือ อนุพันธ์ของออกซิเจนที่ว่องไว (Reactive Oxygen Species) อาจเรียกย่อ ๆ ว่า ROS เป็นสารที่เกิดขึ้นได้จากระบวนการเมทาบอลิซึมในร่างกาย เช่น การเผาผลาญสารอาหาร และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ซึ่ง ROS ที่เกิดขึ้นนี้ จะมีความเสถียรต่ำ ต้องทำปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) กับสารอื่น ๆ ที่อยู่ในเซลล์ เพื่อทำให้ตนเองมีความเสถียรเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อสารพันธุกรรม กระบวนการทำงานของเซลล์ รวมไปถึงโครงสร้างของเซลล์
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเราก็มีไม้เด็ด นั่นก็คือ สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ทั้งที่ผลิตได้เองในร่างกาย เช่น กลูต้าไธโอน วิตามินอี วิตามินซี หรือได้รับจากอาหาร โดยเฉพาะสารพฤกษเคมี (Phytonutrients) จากผักและผลไม้ เข้ามากำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น
แต่ด้วยวิถีชีวิตของคนเรา ทำให้เราได้รับอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นจากภายนอก ทั้งจากรับประทานอาหาร สิ่งแวดล้อม การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารพิษต่าง ๆ รวมไปถึงอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากรังสียูวี ทำให้กระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระ ทำงานได้ไม่เพียงพอ
เกิดเป็นภาวะที่เราเรียกว่า ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งหลายชนิด โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง โรครูมาตอยด์ และอาการแก่ก่อนวัย
ที่มา
อย่างที่เรารู้กันว่า อนุมูลอิสระ ก่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือแม้แต่โรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งอนุมูลอิสระ ยังเร่งกระบวนการชราภาพของเซลล์ ส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “อาการแก่ก่อนวัย” ซึ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดทางผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ร่องลึก ตีนกา หรือความหย่อนคล้อยของผิว
มาดูกันดีกว่าว่า 5 อาหารเสริมชะลอวัยที่น่าลอง โดยเฉพาะกับคุณผู้หญิงทั้งหลาย จะมีตัวไหนบ้าง ที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้ามาทำร้ายความอ่อนเยาว์ของผิว
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) มีสีแดง มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และเมื่อเปรียบเทียบกับสารอาหารอื่น ๆ พบว่าแอสตาแซนธินมีประสิทธิภาพดีกว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่นถึง 17 เท่า มากกว่าวิตามินอี 550 เท่า และยังมากกว่าวิตามินซีถึงกว่า 6,000 เท่า ดังนั้นแล้วสารแอสตาแซนธิน จึงมีสรรพคุณช่วยชะลอวัยในผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
แอสตาแซนธิน สามารถช่วยลดความเสื่อมของโครงสร้างผิวจากรังสียูวีในแสงแดด ช่วยป้องกันความหยาบกร้านของผิว ริ้วรอยก่อนวัย โดยจากงานวิจัยพบว่า การรับประทานสารสกัดแอสตาแซนธิน ขนาด 4 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 6 สัปดาห์ สามารถลดความแก่ก่อนวัยของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังพบว่า สารแอสตาแซนธินยังช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากอายุที่เพิ่มขึ้น และจากการทำลายของรังสียูวี อีกทั้งยังพบว่าสารแอสตาแซนธินยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง และช่วยชะลอความเสื่อมของระบบประสาท จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคความจำเสื่อมและโรคพาร์กินสันได้
เห็ดหลินจือ (Lingzhi) เป็นเห็ดที่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในตำราแพทย์แผนจีนซึ่งบันทึกสรรพคุณของเห็ดหลินจือไว้มากมาย เช่น มีฤทธิ์ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ช่วยขับสารพิษ กระตุ้นการทำงานของตับ การยับยั้งเซลล์มะเร็ง ลดอาการภูมิแพ้ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง และที่สำคัญเห็ดหลินจือยังมีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม
สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเห็ดหลินจือ เช่น สารในกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) สารกลุ่มไตรเทอปีน(Triterpenes) และสารประกอบประเภทโปรตีน พบว่ามีฤทธิ์ช่วยปกป้องสารพันธุกรรม ช่วยป้องกันเยื่อหุ้มเซลล์จากอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องไมโตคอนเดรีย จึงทำให้เห็ดหลินจือเป็นอาหารเสริมที่ช่วยชะลอวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถั่งเช่า (Cordyceps) หรือหญ้าหนอน เป็นเห็ดราประเภทหนึ่งที่เจริญเติบโตอยู่ในตัวหนอนของผีเสื้อ เมื่อถึงฤดูร้อนส่วนของเห็ดก็จะค่อย ๆ งอกออกมาจากตัวหนอน
การใช้ประโยชน์จากถั่งเช่า เราจะใช้ทั้งส่วนที่เป็นตัวหนอนและส่วนเห็ดที่งอกออกมาจากตัวหนอน ในตำราแพทย์แผนจีนโบราณ จะใช้ปรุงเป็นยาเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงไต ลดอาการภูมิแพ้ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ลดการเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง และยังใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความชรา
มีงานวิจัยโดย Ji DB และคณะพบว่า สารสกัดจากเห็ดหลินจือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับความชราภาพหลายชนิด เช่น ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (superoxide dismutase) กลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส (glutathione peroxidase) และคาตาเลส (catalase) ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ ถ้ามีการทำงานลดลงก็จะทำให้แก่ก่อนวัยได้
โสม (Ginseng) โดยเฉพาะโสมเกาหลี (Panax Ginseng) เป็นสายพันธุ์ที่ถูกใช้ประโยชน์ในทางยามากที่สุด เพราะมีสรรพคุณทางการแพทย์หลายประการเช่น เป็นยาบำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของโรคมะเร็งลดอาการของโรคเบาหวาน ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยบำรุงประสาท ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
โสมเกาหลียังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดระดับของออกซิเจนที่ว่องไว (Reactive Oxygen Species หรือ ROS) ในร่างกายได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เช่น ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (superoxide dismutase) กลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส (glutathione peroxidase) ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ต่างมีหน้าที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย
นอกจากนี้ยังพบว่าสาร Ginsenosides ซึ่งพบในโสมเกาหลี มีสรรพคุณช่วยเพิ่มการสังเคราะห์โปรคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Procollagen) ในผิวหนัง จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของชั้นผิว อันเนื่องมาจากรังสียูวีและอนุมูลอิสระต่าง ๆ อีกทั้งยังพบว่า สารสกัดจากโสมเกาหลียังช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวพรรณได้อีกด้วย
คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ทำหน้าที่เสมือนเป็นกาว ที่เชื่อมระหว่างเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงผิวหนัง และยังเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็น 25 – 35% ของปริมาณโปรตีนทั้งหมด
สำหรับคอลลาเจนที่พบในผิวหนัง จะเป็นคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Collagen) ซึ่งการขาดคอลลาเจนในชั้นผิว จะทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึง เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวแห้งกร้าน ดูหยาบกระด้าง และดูแก่ก่อนวัยอันควร ซึ่งอาการเหล่านี้ ยังอาจเกิดขึ้นจากการเสื่อมสลายของคอลลาเจน โดยรังสียูวีและอนุมูลอิสระ
ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน จึงช่วยเติมเต็มคอลลาเจนให้กับชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ ดูลดเลือนลง ผิวดูเต่งตึงขึ้น ผิวดูเรียบเนียนยิ่งขึ้น
ควรเลือกอาหารเสริมที่ผลิตมาในรูป Hydrolyzed Collagen เนื่องจากมีขนาดโมเลกุลที่เล็ก สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดี ซึ่งปริมาณที่แนะนำสำหรับการรับประทานเพื่อชะลอวัย คือ 5,000 – 7,000 มิลลิกรัมต่อวัน
จะเห็นว่าสุดยอดอาหารเสริมที่ช่วยชะลอวัย สำหรับคุณผู้หญิง มีอยู่ด้วยกันหลายตัว ทั้งที่เป็นอาหารเสริมกลุ่มสมุนไพร เช่น เห็ดหลินจือ ถั่งเช่า โสมเกาหลี หรือ สารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอสตาแซนธิน ก็สามารถนำมาใช้หยุดเวลา เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณไว้ให้นานที่สุด
ที่มา