ดีท็อกซ์ล้างสารพิษ ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สดชื่นมากขึ้นเนื่องจากรับมลภาวะและสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ดูไม่สดชื่น ดูไม่กระปรี้กระเปร้าเอาเสียเลย เมื่อบวกกับสาเหตุอื่น ๆ อย่าง การนอนไม่พอ การทำงานหนัก ความเหนื่อยล้ายิ่งทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมไปใหญ่ หลาย ๆ คนจึงเริ่มหันมาทำดีท็อกซ์ล้างสารพิษกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดีท็อกซ์ผิวผ่านการเข้าคลินิก การกินอาหารเพื่อสุขภาพ ไปจนถึงการซื้ออาหารเสริมไฟเบอร์ดีท็อกซ์มากรับประทาน ในบทความนี้เราจะพาคุณมาศึกษาเกี่ยวกับดีท็อกซ์ล้างสารพิษ คืออะไร?,ดีท็อกซ์ล้างสารพิษ ควรทำบ่อยแค่ไหน, การดีท็อกซ์มีกี่ประเภท,สิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับการทำดีท็อกซ์,ทำไมต้องทำดีท็อกซ์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?,ใครที่ไม่ควรทำดีท็อกซ์ล้างลำไส้ และข้อควรระวังในการทำดีท็อกซ์ จะมีข้อมูลอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย
ดีท็อกซ์ล้างสารพิษ (Detox) เป็นการนำสารพิษออกจากร่างกาย โดยการสวนล้างลำไส้ซึ่งวิธีการทำก็คือการนำน้ำใส่เข้าไปในลำไส้ แล้วนำเอาอุจจาระออกมา ซึ่งน้ำที่สวนเข้าไปนั้นจะต้องเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ หรือน้ำที่มีแร่ธาตุสูง เพื่อขจัดของเสียที่ตกข้างอยู่ในร่างกาย รวมไปถึงเมือกที่ติดอยู่ตามลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น โรคผิวหนัง ซึมเศร้า ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองหรือภูมิแพ้เรื้อรัง ความเหนื่อยล้า โรคทางเดินอาหาร การขับถ่ายที่ผิดปกติ เป็นต้น
อย่างไรก็ดีการดีท็อกซ์นั้นส่งผลดีต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ทำให้ร่างกายของเรานั้นสามารถขับของเสียออกมาได้อย่างหมดจด ทำให้ร่างกายของเรานั้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง ที่สำคัญยังทำให้ระบบการขับถ่ายของเรานั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย และเมื่อได้รับการดีท็อกซ์แล้วจะทำให้ร่างกายของเรานั้นมีผิวพรรณที่เปร่งปรั่ง แลดูสุขภาพดีอีกด้วย ถูกใจเหล่าสาว ๆ หนุ่ม ๆ ที่รักสุขภาพเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
หลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่ามนุษย์เรานั้นควรทำ ดีท็อกซ์ ล้างสารพิษในร่างกาย บ่อยแค่ไหนกัน แน่นอนว่าการทำดีท็อกซ์นั้นมีข้อดีมากมายอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น แต่หากทำบ่อยเกินไปจากที่จะเป็นผลดี มันอาจเป็นผลเสียเลยก็ได้ เพราะมันทำให้ร่างกายนั้นขาดของแร่ธาตุที่จำเป็นไปมากมายไม่ว่าจะเป็น วิตามิน ธาตุเหล็ก สารอาหารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ ซึ่งผลเสียกเหล่านี้จะส่งผลระยะยาวต่อร่างกาย และทำให้ร่างกายนั้นอ่อนแอลงนั่นเอง
อย่างไรก็ดีทางการแพทย์ได้แนะนำว่าสำหรับผู้ที่มีร่างกายปกติควรทำดีท็อกซ์ 3 ครั้งใน 1 เดือน แต่ถ้าหากเป็นคนที่มีโรคท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่ดีแล้วนั้น แนะนำว่าให้ทำดีท็อกซ์ 3 ครั้งใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังอยู่แล้ว ควรทำดีท็อกซ์เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการท้องผูก และปรับสมดุลลำไส้ให้ดีขึ้น ทั้งนี้การทำให้ดีท็อกซ์ได้ผลดีนั้นจะต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และปรับการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย นั่นจึงจะทำให้การดีท็อกซ์สัมฤทธิ์ผลผลได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
หลายคนคงจะสงสัยว่าการทำดีท็อกซ์นั้นสามารถทำได้กี่แบบกัน แล้วแต่ละแบบมีวิธีการอย่างไรบ้าง? ซึ่งการ ดีท็อกซ์ ล้างสารพิษในร่างกาย นั้นในปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 3 ประเภทด้วยกัน โดยการดีท็อกซ์แต่ละประเภทนั้นจะมีขั้นตอนและวิธีที่แตกต่างกันไป แต่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันก็คือเพื่อให้ชำระสิ่งสกปรกในร่างกายของเรานั่นเอง
การรับประทานอาหารนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทำกันเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว โดยมนุษย์เรานั้นรับประทานอาหารหลัก ๆ 3 ช่วงเวลาด้วยกันคือ เช้า กลางวัน เย็น ซึ่งการทำดีท็อกซ์โดยการรับประทานอาหารนั้นสามารถทำได้ด้วยการรับประทานผัก และผลไม้ หรืออาหารที่มีกากใยสูง เพราะนอกจากที่อาหารเหล่านี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังเป็นการดีท็อกซ์แบบธรรมชาติ สามารถช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราดีขึ้น สามารถนำสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในร่างกายให้ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดีท็อกซ์แบบอดอาหาร หรือ Fasting Detox เป็นการอดอาหารเพื่อทำให้ร่างกายนั้นสามารถขับสิ่งสกปรกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการคือการลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ และรับประทานแบบเป็นเวลา เสริมด้วยการรับประทานผักใบเขียว ผลไม้ที่มีประโยชน์ โดยการจะทำดีท็อกซ์ชนิดนี้ได้นั้นจะต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อให้แพทย์ได้พิจารณาเป็นรายบุคคลว่าเหมาะสมแก่การทำหรือไม่
การดีท็อกซ์แบบสวนลำไส้ (Colon Detox) คือการดีท็อกซ์โดยการสวนน้ำบริสุทธิ์หรือน้ำที่มีแร่ธาตุสำคัญเข้าไปยังลำไส้ของเรา เพื่อขจัดสารพิศหรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงเมือกที่เกาะติดอยู่บริเวณผนังลำไส้ โดยการสวนท่อเข้างทวารหนักด้วยระบบปิดเพื่อให้เกิดการขับถ่าย ซึ่งสวนใหญ่แล้วการทำดีท็อกซ์ชนิดนี้นั้นจะต้องทำในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และนำของเสียที่ตกค้างออกมาให้หมดนั่นเอง
เมื่อพูดถึงประเภทของการทำดีท็อกซ์ไปแล้ว หลายคนคงจะเริ่มนำไปทำตามกัน มีหลายสิ่งที่หลายคนนั้นเข้าใจผิดในการทำดีท็อกซ์ร่างกาย และเชื่อว่าจะเป็นผลดี แต่ความจริงแล้วความเชื่อเหล่านั้นอาจนำผลเสียที่ร้ายแรงมาสู่ร่างกายของคุณได้ เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น เราจึงได้ข้อมูลผิด ๆ เหล่านี้มาเผยให้ทุกคนได้ลองศึกษาไปพร้อมกัน
สำหรับการดีท็อกซ์โดยการอดอาหารนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ร่างกายของเรานั้น สามารถขับของเสียออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อบอกให้อดอาหารหลายคนก็คงจะคิดว่า อดอาหารแบบไม่รับประทานอะไรเลย หรือรับประทานแค่ผักผลไม้ก็พอแล้ว ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ร่างกายนั้นขาดสารอาหารที่จำเป็นไป และอาจทำให้ร่างกายมีพลังงานที่ไม่เพียงพอต่อวัน จึงทำให้อาการ หน้ามืด ตาลาย น้ำตาลในเลือดต่ำตามมาในภายหลังได้ และอาจร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
ซึ่งความจริงแล้ววิธีการอดอารหารเพื่อการทำดีท็อกซ์นั้น ทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นไปที่ผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ และกำหนดช่วงเวลาในการรับประทานอาหารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ร่างกายนั้นสามารถขับสิ่งสกปรกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
การทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนรูทวารหนักนั้น เป็นการทำดีท็อกซ์ที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม จึงทำให้ปัจจุบันการทำดีท็อกซ์ประเภทนี้นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามการทำดีท็อกซ์สวนทวารนั้นจะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากทำการดีท็อกด้วยตัวเองแล้วละก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ โดยการติดเชื้อภายในลำไส้จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้การสวนรูทวารหนักนั้นอาจะทำให้มีอุจจาระออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน เพราะการสวนรูทวารนั้นจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากจนเกินไป และยังทำให้ลำไส้ของเราสูญเสียแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้ร่างกายในอนาคตนั้นขับถ่ายด้วยตัวเองไม่ได้ และต้องใช้วิธีสวนไปตลอดชีวิต ซึ่งผลเสียเช่นนี้คงไม่มีใครที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน จึงไม่ควรสวนทวารด้วยตัวเองแต่ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการทำดีท็อกซ์ที่ดีนั้น ควรทำโดยการแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำดีท็อกซ์แบบสวนทวาร เพราะจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง และต้องปลอดภัยมากที่สุด สำหรับ วิธี ดีท็อกซ์ ล้างลําไส้ นั้น ลำดับแรกแพทย์จะนำท่อสวนเข้าไปทางรูทวารหนัก จากนั้นจะทำการบีบน้ำเกลือเข้าไปทางลำไส้ใหญ่ จากนั้นจะปล่อยน้ำออกมาทางทวารหนักจึงเป็นการเสร็จสิ้นการทำดีท็อกซ์
อย่างไรก็ดีการทำดีท็อกซ์สวนทวารนั้นมีข้อควรระวังอยู่หลายประการด้วยกัน อย่างเช่นหากทำไม่ถูกวิธีจะทำให้ร่างกายนั้นมีเกลือแร่ที่ผิดปกติ และหากใส่ประมาณน้ำที่มากเกินไปก็อาจทำให้ลำไส้มีการโป่งจนทำให้ลำไส้แตกหรือทะลุได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่บอกว่าทำไมเราจึงควรทำดีท็อกซ์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง
อย่างที่ทราบแล้วว่าการทำดีท็อกซ์นั้นส่งผลดีอย่างไรต่อร่างกายของมนุษย์เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรทำดีท็อกซ์ล้างลำไส้ จะยิ่งช่วยให้ร่างกายของเรานั้นสามารถขจัดสิ่งสกปรกออกมาได้อย่างหมดจด แต่สิ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะสำหรับทำดีท็อกซ์ เพราะหากทำดีท็อกซ์แล้วอาจจะก่อให้เกิดความอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว ซึ่งกลุ่มที่ไม่ควรทำดีท็อกซ์นั้นได้แก่
โดยผู้ที่มีเงื่อนไขดังกล่าวนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะการขาดน้ำ ไตวาย การติดเชื้อ ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายโดยตรงต่อร่างกายนั่นเอง อย่างไรก็ตามหากต้องการที่จะทำดีท็อกซ์แล้วละก็ ควรได้รับการอนุญาตจากแพทย์ที่ดูแลอาการ และควรทำในโรงพยาบาลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายน้อยที่สุดนั่นเอง
อย่างไรก็ตามการดีท็อกซ์นั้น ถูกพูดถึงอย่างมากในสังคม เพราะช่วยให้ร่างกายของเรานั้นสามารถขับสิ่งสกปรกออกไปได้อย่างหมดจด และยังทำให้ร่างกายนั้นสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยให้ผิวพรรณนั้นมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย สำหรับใครที่ต้องการจะทำดีท็อกซ์แล้วละก็ แนะนำว่าให้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การทำดีท็อกซ์นั้นได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง
อ้างอิง