กระแส “เลือดกรุ๊ป B” มาแรงเกินต้าน จนทำให้หลายคนเริ่มมองหาวิธี ลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด B กันเป็นแถว หากคุณกำลังหาข้อมูลในส่วนนี้อยู่ล่ะก็ บอกเลยว่าคุณมาถูกทางแล้ว เพราะเราได้รวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจ ทั้ง ยาลดน้ำหนักเห็นผลจริงหรือ รวมถึงพาคุณหาคำตอบว่า “มีความเป็นไปได้หรือไม่” พร้อมกับชวนเฝ้าระวัง “โรคร้าย” มาให้คุณใช้เป็นแนวทางในการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพอย่างดีที่สุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์จริงแท้แค่ไหน ไปดูพร้อม ๆ กันเลย
ถ้าจะบอกว่าการ ลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด B ง่ายกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรเลย เนื่องจาก “ระบบย่อยอาหาร” ของชาวกรุ๊ปเลือดนี้สามารถทำงานได้ดี จึง ลดความอ้วนได้ง่าย เมื่อเทียบกับชาวกรุ๊ปเลือดอื่น ๆ เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนที่ร่างกายจะหลั่งออกมาในขณะที่เกิดความเครียด) ค่อนข้างสูง โดยหน้าที่ของฮอร์โมนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากกว่าปกติ รวมถึงเกิดความรู้สึกอยากทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังงานให้สูงขึ้น เพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไประหว่างเกิดความเครียด
พูดง่าย ๆ ว่าชาวกรุ๊ปเลือดบีมีระบบย่อยอาหารที่ค่อนข้างสมดุล สามารถรับประทานอาหารได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นผักชนิดต่าง ๆ เนื้อสัตว์ นม ไข่ และอีกมากมาย แต่แนะนำให้ระวังเนื้อไก่ให้ดี เนื่องจากเป็นอาหารที่มีเลคตินโปรตีนค่อนข้างสูง หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อระบบเลือดได้
แม้ว่าชาวเลือดกรุ๊ป B จะสามารถรับประทานอาหารได้หลากหลาย แต่ก็มีข้อควรระวังอีกมากมาย โดยเฉพาะ เลือดกรุ๊ปบี ห้ามกินอะไร ที่ควรทำความเข้าใจให้ดี และเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ไปทำความเข้าใจกันเลยดีกว่า
ด้วยความที่ชาวเลือดกรุ๊ป B สามารถรับประทานอาหารได้ค่อนข้างหลากหลาย อาจทำให้เกิด “ภาวะอ้วน” ได้ง่ายกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น ๆ ดังนั้นนอกจากจะเลือกรับประทานตาม เมนู อาหารลดน้ำหนัก ตามกรุ๊ปเลือด B แล้ว ก็ควรหาวิธีออกกำลังกายเพื่อดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย ซึ่งเราก็ได้รวบรวมเทคนิคออกกำลังกายฉบับง่าย มาให้คุณได้ลองทำตามเรียบร้อยแล้ว ไปออกกำลังกายพร้อม ๆ กับเราได้เลย
โยคะ เป็นหนึ่งในการออกกำลังกายที่ช่วยสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย รวมถึงช่วยในการฝึกการหายใจ และฝึกจิตใจให้สงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงลดภาวะกล้ามเนื้อตึง และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฮอร์โมนแห่งความเครียด ที่ทำให้เลือดกรุ๊ป B เกิดความอยากอาหารมากกว่าปกติ
การออกกำลังกายประเภทนี้ สามารถทำที่ไหน เวลาใดก็ได้ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้พื้นที่ค่อนข้างน้อย สามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในช่วงแรกเริ่มแนะนำให้เล่นโยคะสัปดาห์ละ 2-4 ครั้ง หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 3-6 ครั้ง
คาร์ดิโอ คือการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายเพื่อให้ “อัตราการเต้นของหัวใจ” เต้นประมาณ 50-70% ของอัตราการเต้นสูงสุด หรือให้เข้าสู่โซน 2 ขึ้นไป เมื่อออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นเวลา 30 นาที ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะ Burn Fat ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะถูกดึงมาเผาผลาญเป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มพลังปอดและทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลงในการออกกำลังกายครั้งต่อไป
แนะนำให้ออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที และทำให้ได้ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ครบ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือถ้าหากคุณแข็งแรงอยู่แล้ว สามารถเพิ่มระยะเวลาเป็น 60 นาที และทำเพียงแค่ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่เพียงพอต่อการดูแลสุขภาพแล้ว
ปั่นจักรยาน เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับอวัยวะต่าง ๆ แถมยังช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 400 แคลอรีต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังช่วย “ลดความเสี่ยง” ของการเกิดโรคเรื้อรังชนิดต่าง ๆ ได้แก่ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ แนะนำให้ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ แต่ถ้าหากเป็นวัยรุ่นควรปั่นจักรยานอย่างน้อย วันละ 60 นาที เป็นประจำทุกวัน
ออกกำลังกายด้วยการเล่นเทนนิส นอกจากจะให้ความสนุกสนานแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีความคล่องแคล่วมากกว่าเดิม ที่สำคัญสามารถ “ลดความอ้วน” ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการเล่นเทนนิสเพียง 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากถึง 600 แคลอรี เทียบเท่ากับการวิ่งจ็อกกิ้งหรือการปั่นจักรยานเลยล่ะ
นอกจากนี้การเล่นเทนนิสยังช่วยให้ร่างกายทำงานประสานกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความสมดุลในการวิ่ง ความเร็วในการวิ่ง การเหวี่ยงแขน รวมถึงความเร็วของสายตาในการมองและกะระยะ หากคุณเล่นเทนนิสเป็นประจำทุกวัน ก็จะสามารถนำไปปรับใช้กับการใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ว่ายน้ำหรือเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย แถมยังมีประโยชน์หลากหลายด้าน เพราะนอกจากจะให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ยังสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย เพียงแต่จะต้องเรียนรู้วิธีการว่ายน้ำอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายประเภทนี้อย่างเต็มที่
และถ้าหากลองเทียบกับการออกกำลังกายประเภทอื่น ๆ การว่ายน้ำนับว่าช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นผลดีต่อ “ข้อต่อ” ต่าง ๆ ในร่างกาย เนื่องจากน้ำจะช่วยพยุงร่างกายของคุณ ป้องกันการเกิดแรงกระแทกบริเวณข้อต่อขณะว่ายน้ำ หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีไม่ควรว่ายน้ำหักโหมเกินไป แนะนำให้ว่ายน้ำอย่างน้อย 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 10-30 นาที เมื่อเกิดความคุ้นชิน/ชำนาญแล้ว ค่อยเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 5 ครั้ง
ทั้ง 5 เทคนิคออกกำลังกายฉบับง่ายที่เรานำมาบอกต่อคุณเมื่อข้างต้น เป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่ง” ที่ตอบโจทย์ชาวเลือดกรุ๊ปบีเท่านั้น ในความเป็นจริงยังมีการออกกำลังกายรูปแบบอื่น ๆ อีกมาก ที่ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักประเภทใดก็ตาม อย่าได้คิดหักโหมมากจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ยังไงล่ะ
นอกจากการลดน้ำหนักจะมีความสำคัญแล้ว การเฝ้าระวังโรคร้ายต่าง ๆ ก็นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่คุณควรให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน ซึ่งความเสี่ยงของการเกิดโรคของชาวเลือดกรุ๊ป B ที่มากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ๆ จะมีอะไรบ้าง? ไปทำความเข้าใจและเฝ้าระวังกันเถอะ
จากการศึกษาโรคเบาหวานใน Diabetologia (วารสารของสมาคมยุโรป) พบกว่าชาวเลือดกรุ๊ป B มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือ “ชนิดดื้ออินซูลิน” มากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ๆ โดยเฉพาะ กรุ๊ปเลือด b ผู้หญิง ซึ่งเป็นเพราะว่าในเลือดกรุ๊ปนี้มีโมเลกุลบางชนิด ที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินค่อนข้างง่าย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคร้ายอย่างเบาหวานได้ง่ายกว่า
ศูนย์มะเร็งวิทยา มหาวิทยาลัยเยล ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าชาวกรุ๊ปเลือด B มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ๆ สูงถึง 72% เนื่องจากส่วนหนึ่งของยีนส์กำหนดกรุ๊ปเลือดที่อยู่ในโครโมโซมที่ 9 เอื้อต่อการเกิดและเติบโตของเซลล์มะเร็งตับอ่อนได้มากกว่า
นอกจากนี้โมเลกุลในเซลล์เม็ดเลือดแดง ยังเอื้อให้เชื้อแบคทีเรีย “เอช ไพโลไร” เติบโตได้ดีขึ้นในกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งนับเป็นอวัยวะที่ล้วนล้อมรอบตับอ่อนแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับอ่อน หรือมะเร็งกระเพาะอาหารค่อนข้างง่าย
จากการศึกษาของนักวิจัยวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งฮาร์วาร์ด (Harvard School of Public Health) พบว่า ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป B เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงถึง 11% เมื่อเทียบกับชาวเลือดกรุ๊ปอื่น ๆ เนื่องจากเลือดกรุ๊ป B มีความเชื่อมโยงกับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไขมันเลว) หรือมี ไขมันสะสมที่หน้าท้องมาก ซึ่งเป็นชนวนสำคัญของเกิดโรคหัวใจ
นอกจากนี้ยังพบว่า “แอนติเจน” บนเม็ดเลือดแดงของชาวกรุ๊ปเลือดนี้ มียีนส์พิเศษชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดหรือเลือดจับตัวกันได้ง่าย นอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจแล้ว ยังเสี่ยงต่อการหัวใจวาย และเพิ่มความเสี่ยงหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตันอีกด้วย
หลังจากทำความเข้าใจ “ความเสี่ยง” ที่อาจจะเกิดขึ้นในชาวเลือดกรุ๊ป B เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดเลยใช่ไหมล่ะว่าการตรวจสุขภาพ ก็ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าการลดน้ำหนักแม้แต่นิดเดียว หากคุณต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้ายและมีอายุที่ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากจะต้องควบคุมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมแล้ว ควรแบ่งเวลาไปตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันตัวเองจาก “ภัยเงียบ” ด้วยเช่นกัน
“ต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ไม่เข้าใจเลยสักครั้ง” หากชาวเลือดกรุ๊ป B ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับคำถาม (ตามเนื้อเพลง) แล้วล่ะก็ อย่าได้คิดละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเองส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การควบคุมอาหารการกิน และการตรวจร่างกายเป็นประจำ เพราะถึงแม้ว่าชาวเลือดกรุ๊ป B จะมีระบบย่อยอาหารที่ดีกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ๆ ก็จริง แต่ยังคงมี “อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง” และ “ความเสี่ยง” มากมายที่คุณควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงในทุก ๆ วันแล้ว
อ้างอิง